ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ระยะห่าง ระหว่างเรา” (So Close Yet So Far) คือ บทลำนำนำล้ำลึกแห่งชีวิตที่สื่อผ่านนิยายภาพแห่งชีวิต ด้วยสีสันอันจัดจ้านสะเทือนตาและจับหัวใจ ด้วยรูปลักษณ์ของภาพวาดที่สื่อถึงองค์ประกอบแห่งอารมณ์ความรู้สึก..มันคือ วิถีแสดงทางสำนึกติดต่อ “ชีวิตรัก” และ “ความรู้สึกแห่งรัก” ..ผ่านช่องโหว่ของชีวิตและรอยแผลแห่งการกระทำ .. ที่ “จิมมี่” พยายามใช้ภาวะภายในที่ซ่อนเร้นส่องประกายออกมาสู่ภายนอก ในท่วงทำนองของคำสารภาพแห่งความเจ็บปวด..รื่นรมย์แต่ก็หน่วงหนักทางการแสดงออกของชีวิต ..สิ่งๆนี้อาจไม่กระจ่างชัดต่อผู้อ่าน ที่ข้ามผ่านรายละเอียดของบทตอนและภาพประกอบในแต่ละภาพ..รวมทั้งการสื่อผ่านความคิดในลักษณะแห่งภาษาของกวีนิพนธ์..ซึ่งก็มีบางอย่างที่ลึกเร้นและซุกซ่อนอารมณ์ของความหมายไว้อย่างติดแน่น...อาจไม่กระจ่างชัดต่อการรับรู้..ตราบใดที่ผู้อ่านยังไม่สามารถตีความต่อเนื้อแท้ของความเข้าใจทั้งความรักและความรู้สึกรัก..อันเป็นสัจจะ..!
“..สัมพันธภาพแห่งชีวิตของคนเรา เป็นดั่งภาพเงาแห่งมายาการณ์ที่ซ้อนซับ มันอาจเริ่มต้นด้วยความจริงที่ยากจะปฏิเสธ..สู่นัยความหมายของประกายใจอันเบิกบาน...แม้ว่าในท้ายที่สุด..มันจะต้องจบลงด้วยห้วงภวังค์ที่แสนเศร้าสักเพียงใด ..แต่มันก็ยังหล่อหลอมติดตรึง เป็นความทรงจำแห่งหัวใจเสมอ...นั่นคือผลลัพธ์แห่งความรู้สึกรัก ที่บังเกิดขึ้นระหว่างชีวิตแห่งตัวตนอันพิสุทธิ์พิศาลของกันและกัน..ในที่สุด ...”
..นี่คือ..นัยความหมายที่ทั้งตื่นตระการและซาบซึ้ง..จากหนังสือภาพอันงามวิจิตรของ “จิมมี่ เหลียว”(JIMMY LIAW)..ที่นำเสนอผ่านมิติของการรับรู้ในรู้สึก..ทั้งเรื่องราวและมิติแห่งภาพแสดงที่วาดแต่ง..
“ระยะห่าง ระหว่างเรา” (So Close Yet So Far) ซึ่งได้รับการแปลและถอดความเป็นภาษาไทยอย่างละเมียดละไมและสั่นไหวภาวะแห่งความรู้สึกโดยนักแปลฝีมือเยี่ยม “อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี” ..ผู้เคยคุ้นกับเนื้องานอันเป็นเอกลักษณ์ของ “จิมมี่ เหลียว” มาช้านาน..!
...ไม่ว่าใครก็ตาม..ที่ประทับใจและรักในงานของ “จิมมี่ เหลียว” มาก่อน..โดยเฉพาะจากเรื่อง “ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย..ผู้ชายเลี้ยวขวา” (Turn Left,Turn Right)..จักต้องดีใจยิ่งขึ้นไปอีก..ที่วันหนึ่ง “โลกใบเดียวกันนี้” ได้มีเรื่องราวของ “เขาและเธอ” อีกคู่หนึ่งบังเกิดขึ้น..และดำเนินอยู่ในจักรวาลสร้างสรรค์ของ “จิมมี่” ..บนรากฐานของความรู้สึกอันเป็นความหวังที่อ่อนโยน..แต่..กลับกลายเป็นความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด..โดยเฉพาะกับประเด็นของการที่.. “เราต่างมีใครคนหนึ่ง ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจ..และมีความหมายกับเราตลอดเวลา”
นั่นคือ ..สาระอันสาดต้องหัวใจ..แห่งเรื่องราวความสัมพันธ์ในผูกพันของบุคคล ผู้แสวงหาความมั่นคงแห่งชีวิต ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง..ที่แวดล้อมไปด้วยตัวเลือก..แต่กลับไม่กล้าตัดสินใจเลือก..และไม่สามารถยืนยันความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กันได้..!
...เหตุนี้..ร่างที่บอบช้ำไปด้วยบาดแผล..รวมทั้งรอยร่างอันเจ็บปวดของหัวใจ..จึงไม่อยากที่จักต้องบาดเจ็บอีกต่อไป..และ..ตลอดไป ..! ...ด้วยเหตุที่..การเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่วัยเด็กของตัวละครเอก “หนุ่มสาวทั้งสอง” มีส่วนที่ทำให้พวกเขามีชีวิตที่สนิทกัน..มากกว่า “คู่แห่งความเป็นเพื่อน” คู่ไหน..ขณะที่บ้านที่อยู่เยื้องตรงข้ามกัน..ก็เเค่เพียงเดินเท้าข้ามฟากถึงกันในไม่กี่นาที..และทั้งสองก็ยังเรียนที่โรงเรียนระดับประถมและมัธยมด้วยกันเมื่อยามเด็ก..ทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่า..ต่างแนบชิดในกันและกัน..ด้วยรากฐานแห่งสัมพันธภาพที่ล้ำลึก ..
...แต่ถึงกระนั้น “จิมมี่” ก็ได้ตั้งประเด็นความคิด..ที่สื่อถึงความขัดแย้งระหว่างกันว่า.. “มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก” ..วันนี้เกิดอย่าง พรุ่งนี้ก็เกิดอีกอย่าง..มันอาจกลับกลายไปเรื่อยๆ..ซึ่งนัยดังกล่าวนี้คือสิ่งที่มนุษย์ต้องเรียนรู้อย่างแนบเนา และจริงจัง อย่างไม่มีวันจบสิ้น ..!
“..การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์..ไม่มีวันสิ้นสุด” การที่ตัวละครเอกทั้งสอง เริ่มต้นชีวิตด้วยความพ้องเหมือนอันหลายหลาก..หลายประการ..โดยเขาและเธอ..ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นชีวิต ณ โรงพยาบาลแห่งเดียวกัน ซึ่งฤดูใบไม้ผลิในปีนั้นช่างอบอุ่นเป็นพิเศษ..ดอกกุหลาบพันปีได้เบ่งบานก่อนเวลา.../เขาและเธอต่างเล่นที่สวนสนุกแห่งเดียวกัน จูงโป่ง ขี่ม้า และ วิ่งวนรอบสวนดอกไม้../..เขาและเธอเรียนเปียโนกับครูคนเดียวกัน ชอบเพลง “ทวิงเกิล ลิตเติ้ล สตาร์” เหมือนกัน..และ ไม่ชอบภาพบนผนังเหมือนกัน/..เขาและเธอเรียนที่โรงเรียนอนุบาลแห่งเดียวกัน ทุกวันจะไปโรงเรียนด้วยกัน และ กลับบ้านด้วยกันหลังเลิกเรียน/..เขาและเธอกินขนมด้วยกัน นอนกลางวันด้วยกัน ร้องเพลง “อิปิยา” ด้วยกัน..และ เต้นเพลง “ลูลาลา” ด้วยกัน/เขาและเธอ เรียนโรงเรียนประถมศึกษาแห่งเดียวกัน ตอนฉีดวัคซีน เขาต้องจับมือเธอแน่น/..เขาและเธอมีเรื่องคุยกันไม่จบ มีเพลงที่ร้องไม่ยอมหยุด และมีเกมที่เล่นไม่ยอมหมด../เธอเคยทะเลาะกับเพื่อนเพื่อเขา ภายหลังฝนซู่ จักจั่นครวญเพลง ไม่มีใครได้ยินเสียงโหวกเหวกของเด็กน้อย/เขาเคยชกต่อยกับเพื่อนเพื่อเธอ แดดเหมันต์ถอยห่าง กระรอกน้อยหลับไหล ไม่มีใครเห็นการวิวาทอันโง่เขลา/..เธอมักไปเล่นที่บ้านเขา วันหนึ่งพวกเขาปล่อยนกตัวโปรดของพ่อจากกรง/คราวนั้นเขาถูกตียับ และเธอก็ไม่กล้าไปบ้านเขาอีกเลย/เขามักจะไปทำการบ้านที่บ้านเธอ..วันหนึ่งพวกเขาทำแจกันล้ำค่าของแม่แตก/..คราวนั้น..เธอถูกดูหนัก เขาไม่กล้าไปบ้านของเธออีก/...!
“..บ้านของเขา อยู่แค่ตรงข้ามบ้านของเธอ..ห่างกันเพียงเดินเท้าเจ็ดนาที”..จะเห็นได้ว่า..ฉากแห่งชีวิตของตัวละครทั้งสอง..เริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ที่ทั้งอิ่มเอมและผูกพัน..มันเหมือนกับการตกอยู่ในโลกของสรวงสวรรค์ที่มีแต่ความรัก ความเกื้อกูลและความเข้าใจ......แต่ที่สุดแล้ว..ปมปัญหาแห่งการเผชิญหน้าก็เริ่มแทรกเข้ามาในชีวิต..เป็นเหมือนบททดสอบที่ต่องโยงใยเกี่ยวข้องกับคนอื่น..ผลลบแห่งการกระทำอันผิดพลาด โดยที่ไม่ได้ตั้งใจและมีเจตนา..ส่งผลให้ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์และชิดใกล้..จำเป็นต้องแยกห่างออกจากกัน..
..นั่นคือวิกฤตแห่งความผูกพันและพานพบ ที่เริ่มก่อตัว และ ปรากฏให้เห็น..ทั้งด้วยภาวะเหตุการณ์อันจริงแท้ หรือ อุบัติการณ์ที่ย้อนแย้งกับการควบคุม ..!
...ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ..ถือเป็นช่องโหว่เล็กๆ ที่กัดเซาะหัวใจและกายร่าง ให้พวกเขาไม่กล้าที่จะเดินทางไปยังบ้านอันอบอุ่นแห่งชีวิตของกันและกันอีก..!..ใครจะคิดบ้างล่ะว่า..ช่องโหว่เล็กเหล่านั้น จะมีการขยายกว้างออก..จนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขา..ไกลห่างกันออกไปทุกที..โดยมี “ผู้อื่น” เป็นตัวแปร..
ความจริงใจอันบริสุทธิ์แห่งกันและกันด้วยความไร้เดียงสาในวัยเด็ก ได้สร้างปมเงื่อนให้เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงในทัศนะของพ่อแม่ ..อันเป็นผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ..ถ่างช่องโหว่ของรอยปริแตกแห่งชีวิต ..ให้ขยายกว้างยิ่งขึ้น..โดยเฉพาะ..การถือตัวของผู้ใหญ่ การไม่เข้าใจในข้อผิดพลาดอันไม่ถูกใจตัวเองของเด็กๆ..ซึ่งถูกมองไปว่าเป็นการไม่สมควร และ ถูกแปรค่าเป็น “หายนะทางวัฒนธรรม”
มันจึ่งคือ..ภาวะอันเจ็บปวดต่อความบริสุทธิ์ใจแห่งสายสัมพันธ์อันยากจะสมาน..เนื่องเพราะ ผู้ใหญ่ต่างมองโลกอย่างผู้ใหญ่..ผ่านสำนึกคิดที่เป็นกฎเกณฑ์อันตีบตันของตนเอง..จนเป็นเหตุก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมแห่งสายสัมพันธ์อันยากจะคืนกลับ..! เมื่อก่อน..พวกเขาชอบโบกมือแรงๆข้างหน้าต่าง พลางตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างสุดเสียง..แต่ตอนนี้ พวกเขาทำได้แต่เพียง แอบอยู่หลังม่าน..เฝ้ามองดูอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ..
...*ทั้งๆที่บ้านของเธอ..อยู่ตรงข้ามบ้านของเขา ห่างกันแค่เพียงเดินเท้า..ห้านาที..*สัมพันธภาพที่ถูกทำลาย..ขยายกว้างและเติบใหญ่ขึ้นตามกาลเวลา..ความเปราะบางของชีวิต ค่อยๆปรับแต่งตัวเองเป็นความเคยชินที่ด้านชา..จวบจนกระทั่งกลายเป็นวิถีใหม่แห่งชีวิตในการดำรงอยู่ที่เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่..เหมือนจะเป็นหนึ่งแห่งกันและกัน แต่กลับเป็นไปไม่ได้..แทบไม่น่าเชื่อว่าช่องโหว่ที่เกิดขึ้นกับวัยเด็ก จากทัศนะเชิงอคติของผู้คนต่างวัย จะสร้างปมอันเป็นทางขวางของชีวิต ได้อย่างกัดกิน เเละดิ่งลึกเพียงนี้...!
“..ในวัยหนุ่มสาว...หญิงสาวเลือกหนทางชีวิตผ่านการเรียนมหาวิทยาลัย แต่ชายหนุ่มกลับเลือกทางอิสระแก่ชีวิตเป็นนักดนตรี..ตรงจุดนี้ช่องโหว่แห่งความหวังก็ได้เกิดขึ้น..คล้ายดั่งบ่วงบาศของชะตากรรม” ในการประกวดดนตรีคราหนึ่ง วงดนตรีของชายหนุ่มที่รักและหลงในเส้นทางสายนี้..ได้เข้าประกวดวงดนตรี..ร่วมกับวงดนตรีที่เชิญให้เธอเป็นนักร้องนำ..
..ครั้งนั้น วงดนตรีของเขาพ่ายแพ้..มันจึงกลายเป็นจุดตัดของความแตกต่างและพลัดพรากระหว่างกัน ..นับแต่นั้น..พวกเขาต่างมีวิถีของตนทั้งด้านอาชีพการงาน อุปนิสัยที่เป็นการกระทำ..รวมทั้งความรัก..! จุดขยายเรื่องราวของ “จิมมี่” ณ ที่ตรงนี้ คือภาวการณ์แห่งการบอกกล่าวถึงระยะทางระหว่างกัน...แม้ทั้งคู่จะเรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของแต่ละคนมาจนมากมายสักเพียงใด..ก็ตาม..!
..แท้จริงแล้ว..ประสบการณ์ในช่วงกลางของชีวิตมนุษย์..คือห้วงยามของความเจ็บปวด..มันถูกสื่อผ่านภาพแสดงของตัวละครทั้งสองดั่งตัวแทนของชีวิตที่แท้จริง..ที่ยิ่งพลัดพรากจากกันก็ยิ่งโหยหาที่จะหวนคืนกลับ...จากประสบการณ์ของวัยผู้ใหญ่ที่ล่วงผ่าน ล้วนต่างคือความเจ็บปวดผิดหวังที่ต้องเคี่ยวกรำ...กานรำลึกถึงอดีตที่เคยไร้เดียงสาแต่มีค่าต่อความรู้สึก จึงมีความหมายแห่งความหวัง..ที่ฝังจำอยู่ในจิตใจไม่รู้ลืม...!
.. “เธอเหนื่อยแล้ว..คิดถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเอื่อยนอกหน้าต่างของบ้านเก่า..เธออยากฟังเขาร้องเพลง../..เขาล้าแล้ว..แค่อยากกลับบ้าน นั่งลงข้างหน้าต่าง เล่นกีตาร์..และ ร้องเพลงให้เธอฟัง..ตลอดคืน”..อะไรคืออะไรในความใฝ่ฝัน ของประพันธกรรมเรื่องนี้ กันเเน่ในปณิธานของ “จิมมี่ เหลียว”..จาก “A CHANCE OF SUNSHINE” ซึ่งแสดงถึงการอยู่ใกล้ที่คลาดเคลื่อนและพลัดพราก “ไม่พบแต่พบ”.พานพบเเนบเนาเนิ่นนาน..แต่กลับพลัดพราก..ยาวไกล! ชีวิตมันก็เล่นหัวกับเรา อย่างโหดร้าย..เช่นนี้เสมอ เป็น “..ความเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ” เป็นดั่งลิขิตศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ดำรงอยู่กับความทายท้าอันไม่รู้จบรู้สิ้น..!
เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะมีแสงฉายแห่งชีวิตกันได้เมื่อไหร่?..เราจะย่นระยะห่างแห่งชีวิต ให้เข้ามาใกล้ได้อย่างไร?..
หนังสือเล่มนี้..จะแสดงผลึกแห่งความคิดอันเป็นส่วนตัวของ “จิมมี่” ผ่านโลกทัศน์ที่ถูกจำลองชีวิตขึ้นมา .เหมือนจะง่ายดายและเปล่าดาย..แต่ก็กลับยากยิ่งต่อความเข้าใจ..ที่จะเติมเต็ม..!
“..บุปผาสะพรั่ง..แต่พวกเขากลับไม่ได้กลิ่น..ของหมู่มวลมาลา..พวกเขามายังริมทะเลที่เคยเล่นด้วยกันเมื่อตอนเด็ก..เธอกระซิบว่า.. “เราคบกันเถิด” ..แต่เสียงลมทะเลทำให้เขาไม่ได้ยินถ้อยคำ..ใดๆ” โศกนาฏกรรมแห่งโอกาสที่พลาดไปตรงส่วนนี้..คือภาวะที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขาจริงๆ...ใครจะเกื้อกูลและเยียวยาพวกเขาได้..
..โดยแท้จริงแล้ว..จะให้พ่อกับแม่มีส่วนเป็นผู้กระทำ..รับรู้รับผิดชอบอะไรด้วยหารือ?..เพราะที่สุดแล้วพวกเขาก็จะต้องละจากโลกนี้ไป..ทิ้งให้ลูกหลานต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียของอดีตโดยลำพัง..!
“พ่อของเขาล้มป่วย เธอฟังเขาปรับทุกข์ในทุกค่ำคืน../แม่ของเธอจากไป..เขาอยู่เป็นเพื่อนให้เธอผ่านพ้นความยากลำบากในทุกเมื่อเชื่อวัน” ระยะทางของชีวิตจึงมีโอกาสอันยากจะคาดเดา..อารมณ์ของอดีตคือสิ่งที่พัดหวนความทรงจำให้กลับมาสู่ตัวตนอีกครั้ง..และตอกตรึงความประทับใจในห้วงความรู้สึกของกันและกัน...
เเน่นอนว่า..บางคนชีวิตอาจมีการเลือกที่จะโลดทะยานไปข้ามโลก พบปะะกับผู้คนมากมายเหลือคณา แต่สำหรับบางคนอาจเลือกที่จะอยู่นิ่งๆกับสิ่งเดิมๆ..รอคอยใครบางคนหรือสิ่งที่เป็นหัวใจบางสิ่งที่จะหวนกลับมาหา..นั่นคือปณิธานอันเป็นที่สุดของความเป็นชีวิตหนึ่ง..!
“ถ้าเขาหรือเธอไม่รู้จักกันมาก่อน..เมื่อวันหนึ่งมาพบกัน จะยังคงจุดประกายได้เหมือนเดิมไหม?/ถ้าบ้านของเขาไม่ได้อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเธอ..เป็นไปได้หรือไม่ที่ทุกความหมาย..จะล้วนเป็นความบังเอิญ..ที่แสนสวย..และทุกความบังเอิญ..จะล้วนเป็นความคาดหมายที่ประทับใจ...”
..หากแต่..เมื่อผู้อ่านได้ค่อยๆตระหนักถึงนัยการอ่านเนื้อหา ..หนังสือเล่มนี้ก็จะเป็นประกายและงดงามยิ่งในหัวใจ..ของทุกคน..ไม่ว่าอย่างสมบูรณ์..ทั้งด้วยรสชาติและมันจะสื่อออกมาด้วยปริศนาแห่งใจ..ใดๆก็ตาม..!..
“เธอมักมองไปยัง หน้าต่างแปลกตา..ทุกบาน คิดถึงหน้าต่างบานที่คุ้นเคย ../เขาชอบมองเข้าไปในแสงอุ่นยามค่ำคืน..นึกถึงภาพครอบครัวที่สุขสันต์../..เธอเริ่มหวาดกลัวว่า..อยู่ๆจะมีการ์ดแต่งงานของเขาในกองจดหมาย/..เขาเริ่มกังวลว่า ..ในบรรดาข้อความมางโทรศัพท์ อยู่ๆจะมีข่าวแต่งงานของเธอ../..เราต่างมีใครคนหนึ่งซึ่งฝังรากลึกอยู่ในใจ..และมีความหมายต่อเราตลอดเวลา../การเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์นั้น..ไม่มีวันที่จะสิ้นสุด..ลงได้หรอก..!.
*..จริงๆแล้ว..บ้านของเธอ อยู่ตรงข้ามบ้านของเขา ห่างกันเพียงเดินเท้า... “สามนาที”....