“รัฐบาลไทย” เตรียมส่งหนังสือแจ้ง “สหรัฐฯ-จีน-มาเลย์” หลังเขมรละเมิดเงื่อนไข “ไม่หยุดยิง” ย้ำถ้ายังละเมิดก็พร้อมตอบโต้ ด้าน “บิ๊กเล็ก”รับ ผบ.เหล่าทัพหนักใจกัมพูชาเคลื่อนกำลังไม่หยุด ลั่น ยิงมายิงกลับ ตอบโต้สมน้ำสมเนื้อ ไม่นิ่งให้โดนฝ่ายเดียว“อิ๊งค์” บอกไม่แปลกใจ “กัมพูชา” ไม่เป็นสุภาพบุรุษ หลังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
เมื่อวันที่ 29 ก.ค.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม เดินทางเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่เดินลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้า น.ส.แพทองธาร มีสีหน้าตึงเครียด ภายหลังเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมามีการเจรจาให้หยุดยิง แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ช่วงเวลา 03.30 น.ของวันที่ 29 ก.ค.ทหารกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงกระหน่ำยิงไม่หยุด
จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าได้ติดตามสถานการณ์หรือไม่หลังจากกัมพูชา ไม่ปฏิบัติตามคำพูดที่ตกลง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เมื่อสักครู่ได้อัพเดทกับทางทีมงาน ก็ได้พูดคุยกันว่า จะมีการแจ้งให้กับประเทศที่เข้ามาเป็นพยานทราบด้วยว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถามว่าทางเราจริงๆไม่ได้แปลกใจกับความไม่สุภาพบุรุษอยู่แล้ว
เมื่อถามต่อว่ารัฐบาลจะต้องมีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการอีกครั้งหรือไม่ เพราะเขายังไม่ยุติการหยุดยิง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เดี๋ยวเรื่องนี้จะไปถามนายภูมิธรรม
ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงถึงการติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า วันนี้สถานการณ์ไทยกัมพูชา 7 จังหวัด ตั้งแต่ 24.00 น. ที่ผ่านมา รัฐบาลได้รับรายงานว่ายังมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่หลายจุด ซึ่งเหตุผลที่ต้องรอตั้งแต่ 24.00 น. จนถึง 10.00 น. วันนี้ เนื่องจากในพื้นที่ทางกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 จะสรุปสถานการณ์รายละเอียดว่ามีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในจุดไหน แบบใดบ้าง และมีพยานหลักฐานในลักษณะเช่นใด เพราะฉะนั้นเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 1 จะมีการเลื่อนการประชุมในพื้นที่ระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 รวมทั้งทหารเรือที่ดูแลในจังหวัดจันทบุรี และตราดของประเทศไทย นอกจากนี้ การพูดคุยระหว่างกองทัพของกัมพูชาในส่วนกองทัพภาคที่ 4 และภาคที่ 5 ที่จัดประชุมกันในวันนี้ (29 ก.ค.) ให้กองทัพบกเป็นผู้พิจารณาว่าจะเลื่อนไปเมื่อไหร่
นายจิรายุกล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ยังมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง รัฐบาลไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ย้ำให้กองทัพปกป้องอธิปไตย และปกป้องบูรณภาพแผ่นดินแดนไทยอย่างเต็มที่โดยยังคงตรึงกำลังไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งถือเป็นการรักษาอธิปไตยของประเทศไทย และดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จังหวัดชายแดนต่างๆ
ขณะที่การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และศบ.ทก. ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนในขณะนี้ เริ่มมาตั้งแต่เวลา 09.30 น. มีความคืบหน้าการรายงานว่าจะต้องปฏิบัติอย่าง ซึ่งมีคำแนะนำโดยเฉพาะรัฐบาลไทย จะแจ้งให้กับผู้สังเกตการณ์ในวงเจรจาที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย วานนี้ (28 ก.ค.) ที่มีประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลไทยจะทำเอกสารส่งไปว่ายังมีการละเมิดการยิงหลังเที่ยงคืนแบบไหนอย่างไร
นายจิรายุกล่าวอีกว่า ส่วนที่สื่อกัมพูชารายงานว่าขณะนี้กองทัพกัมพูชาหยุดยิงแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะชี้แจงในลักษณะนั้น แต่ว่ากองทัพไทยยังยืนยันว่ายังตรึงกำลัง และรักษาอธิปไตยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยืนยัน 4 ประเด็นคือ 1.ให้กองทัพรักษาอธิปไตย และบูรณภาพแผ่นดินแดนอย่างเต็มที่ 2.กรณีการเรียกเอกอัครราชทูตไทย ยังคงย้ำในจุดยืนเดิมให้เรียกกลับประเทศไทย และส่งทูตกัมพูชาให้กลับประเทศเช่นกัน ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 3.ให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน ส่วนการอพยพขอให้รอ ศบ.ทก.แถลงในช่วงบ่ายวันนี้ (29 ก.ค.) ที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อน และ4.ให้ศบ.ทก. ประชุมอย่างต่อเนื่องหากมีเหตุการณ์ด่วนก็สามารถชี้แจงกับพี่น้องประชาชนได้ทันที
“เราเดินแนวทางแบบสุภาพบุรุษในการปฎิบัติภารกิจทุกรูปแบบ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่เราทำงานลักษณะกองทัพแบบสุภาพบุรุษ ด้วยการเจรจาของประธานอาเซียนเรายืนยันว่าเสรีภาพและสันติภาพย่อมเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ และหลังจากช่วงบ่ายเมื่อส่งข้อความไปยังผู้สังเกตแล้วคงต้องทำรายละเอียดเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสองกอต่อไป” นายจิรายุกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการส่งเอกสารชี้แจงให้กับประเทศที่เป็นพยานตอนไหน นายจิรายุ กล่าวว่า เราต้องส่งพยานหลักฐาน ว่าการปะทะมีจุดไหนอย่างไรบ้าง คาดว่าช่วงบ่ายวันนี้ (29 ก.ค.) ให้กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงว่ามีกี่ข้อ
ที่ศูนย์แถลงข่าวนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.กต. และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม แถลงความคืบหน้าการดำเนินการของรัฐบาลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด รัฐบาลไทยมีความจริงใจ และใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ที่จะยุติสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเร็วที่สุด การเจรจาจนมีข้อตกลงหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน และยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และทหารของชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลกที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชาชนทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยเคารพต่อผลการหารือที่เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า กองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีการใช้อาวุธยิงต่อกำลังฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ ทำให้ทหารฝ่ายไทยต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาด และเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์
พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้ประท้วงไปยังประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพื่อให้ได้รับทราบว่า การละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรง และไม่จริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน สถานการณ์ในขณะนี้ รัฐบาลมอบหมายให้ทุกเหล่าทัพตรึงกำลัง เพื่อรักษาอธิปไตย และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ไม่ยินยอมให้อธิปไตยไทยถูกล่วงล้ำไม่ว่ากรณีใดๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงสายวันนี้ ได้มีการพูดคุยกันระหว่างแม่ทัพภาคของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหารือแนวทางในการคลี่คลายปัญหา
ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการเจรจาในระดับสูงขึ้นต่อไป ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เพื่อยุติความรุนแรง ไม่ให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นทั้งพลเรือน และกำลังทหาร เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามหลักสากล ยึดหลักมนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนอย่างจริงใจของรัฐบาลไทย จะปรากฏชัดต่อนานาประเทศ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในขั้นตอนต่างๆ หลังการหยุดยิงบรรลุผลต่อไป ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์จากช่องทางที่เป็นทางการ โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการอพยพกลับภูมิลำเนา ขอให้รอผลการยืนยันจากรัฐบาลต่อไป โดยรัฐบาลขอเน้นย้ำว่าได้ให้หน่วยงานในพื้นที่ อำนวยความสะดวกของพี่น้องประชาชนในศูนย์อพยพอย่างเต็มที่ รัฐบาลขอสดุดีวีรกรรมของทหารกล้าที่อุทิศชีวิต และเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัย
สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชน ไม่ตกเป็นเหยื่อเกมข่าวลวง หรือเกมการเมืองของกัมพูชา เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศจากฝ่ายตรงข้าม ทีมประเทศไทยขอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังไทย-กัมพูชา ได้ข้อสรุปเรื่องหยุดยิงว่า ขอให้เชื่อมั่นในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตทหาร และเคยมีประสบการณ์วางแผนการรบ ซึ่งต้องมองให้ครอบคลุม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก่อนที่จะไปเจรจา ตนได้มีการหารือกับ ผบ.เหล่าทัพว่า เวลาที่รับได้คือเท่าไหร่ ทางผบ.เหล่าทัพสรุปเป็นเวลา 18.00 น. แต่ทางกัมพูชาขอเป็นเที่ยงคืน ซึ่งตนได้หารือกับ ผบ.เหล่าทัพอีกครั้ง พอจะรับเงื่อนไขได้ เพียงแต่ห่วงใยเพราะเป็นช่วงเวลากลางคืน โดยทุกท่านบอกว่าหนักใจ เนื่องจากกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังมามาก อยากให้ประชาชนเข้าใจตนทำทุกอย่างร่วมกับกองทัพ ไม่ได้ทำคนเดียว รวมถึงพูดคุยกับรัฐบาล ยืนยันว่าก่อนเจรจาหยุดยิงตนมีเงื่อนไขว่า หยุดยิงแล้วจะทำอะไรต่อไป จึงเป็นที่มาขอทาง 7 ข้อที่ทางกระทรวงการต่างประเทศแถลง และในที่ประชุมก็ยอมรับ โดยมีมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและจีนเป็นพยาน เงื่อนไขเหล่านี้จะเกิดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนั้น การประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) ในวันนี้ไม่ใช่การประชุมเต็มรูปแบบ มอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 1 ไปคุย ให้ได้ข้อยุติ ซึ่งให้ไปหารือกันใน 6 ประเด็น ส่วนอีกประเด็นที่ไม่ต้องคุย เนื่องจากต้องเอาข้อสรุปนั้นมาหาข้อสรุปในคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี)
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่าการหยุดยิง ไม่ใช่ว่าสั่งหยุดเมื่อคืนนี้แล้วทั้งสองฝ่ายจะมาเล่นตะกร้อ นั่งกินข้าวด้วยกัน ยืนยันต้องมีการคุยกันต่อไป ใน 7 ข้อนั้นอาจจะจบเดือนหน้าหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่การหยุดยิงทำให้ลดความสูญเสียของประชาชน เพราะปัจจุบันประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 48 ราย ทหารเสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 160 ราย 1 นั้นมีพิการขาขาด 4 ราย ซึ่งเป็นกำลังหลักครอบครัว ยืนยันตนต้องคิดทุกอย่าง แต่ในระดับของผบ.เหล่าทัพจะมาคิดแบบตนไม่ได้ อยากให้สังคมเข้าใจ นอกจากนี้ ก่อนไปเจรจาตนได้คุยกับผบ.เหล่าทัพว่า การยุทธจะคืบหน้าได้เร็วหรือไม่ อาจคืบหน้าได้ไม่มากกว่านี้เท่าใดนัก ในขณะเดียวกัน ได้ฝากกระทรวงการต่างประเทศได้ประณามการโจมตีพลเรือนจากฝ่ายกัมพูชา โรงเรียน โรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังใช้ประชาชนของตัวเองเป็นโล่มนุษย์ด้วยการนำอาวุธหนักไปตั้งในหมู่บ้านเพื่อโจมตีไทย ผิดหลักอนุสัญญาเจนีวา ผิดอนุสัญญาออตตาวา
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า หากตนสั่งว่าไม่หยุดยิง ให้เดินหน้าต่อไป ก็จะมีลูกน้องของตนและประชาชนได้รับบาดเจ็บ ในห้วงนี้เราจะเร่งรัดไม่ได้ ถือเป็นเรื่องเจ็บปวด อยากให้นึกถึงครอบครัวของเขา การหยุดยิงชะลอการสูญเสียไปได้ แต่หลังจากนั้นต้องมีเงื่อนไขกันต่อไป ซึ่งต้องมาคิดในระดับรัฐบาลและมิติอื่น การที่ตนร่วมยอมรับกับข้อตกลงเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ทำภายใต้นโยบายของรัฐบาล การต่างประเทศ และเศรษฐกิจ เราต้องชั่งน้ำหนักในทุกมิติ แต่ในสัปดาห์หน้าสถานการณ์อาจเป็นอีกแบบหนึ่ง ต้องมาคิดกัน ขออย่ากังวล ยืนยันว่ารัฐบาลและกองทัพคำนึงถึงอธิปไตยของชาติ
เมื่อถามย้ำว่า ก่อนหน้าปะทะ รัฐบาลก็ให้กองทัพคุยเช่นกันแต่ก็ไม่จบ รอบนี้ให้กองทัพไปคุยอีก แล้วจะจบหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า “หากไม่จบก็ไม่จบ และอาจจะยิงกันใหม่ได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็นทหารด้วย มีความมั่นใจในกัมพูชาหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังมีการสู้รบ และการเคลื่อนไหวอยู่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ไม่ได้เชื่อ ต้องมีสิ่งพิสูจน์ เพราะเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ประชุมก็พูดกัน ต้องพูดกันตรงๆ เพราะเราอยากได้ความเชื่อมั่น และความไว้วางใจ เมื่อถามว่า เราจะเรียกร้องอย่างไรไปทางฝั่งกัมพูชาให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า อย่างที่ตนบอกอยู่ตรงนี้ ถ้าตกลงอะไรไปแล้วเขาปฏิบัติตาม ตนจะไม่ทราบ ตนจึงให้กองทัพเป็นคนคุย ซึ่งกองทัพต้องดูว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่ และกองทัพรายงานมาว่าเขาไม่ทำตามข้อตกลง หรือตนไปตกลงอะไร กองทัพอาจบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ตนจึงให้กองทัพเป็นคนพูด อยากให้สื่อมวลชนทำความเข้าใจตรงนี้ มันเป็นกระบวนการในการมอบความรับผิดชอบ สิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ เพราะตนเชื่อใจเลยว่า แม้ตนจะเอา 6 ข้อไปนั่งคุยตรงนั้นจนเรียบร้อยกลับมา กองทัพภาคที่ 1 อาจจะพอใจ แต่กองทัพภาคที่ 2 อาจไม่พอใจ ประชาชนบางส่วนพอใจบางส่วนไม่พอใจ เพราะฉะนั้น จึงให้กองทัพเป็นคนคุยกัน
เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองตกลงยิงกันแล้ว แต่ฝ่ายทหารยังไม่ปฏิบัติตาม ในฐานะที่เป็นทหารและเป็นรัฐมนตรีด้วยเห็นอย่างไร พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ก็อยู่กันอย่างนี้ต่อไป เมื่อถามย้ำว่า ไม่ได้หยุดยิงอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ เขายิงมา เราก็ยิงไป พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า “ใช่ เขายิงมา เราก็ยิงไป เมื่อช่วงเช้าได้อนุญาตแล้วว่าถ้าเขายิงมาเราก็ยิงไป ตอบโต้กันไป ไม่ใช่เราหยุดยิงเขาไม่หยุดยิงและเรานั่งรอให้เขายิง ท่านคิดว่าผมสั่งอย่างนี้เหรอ”
เมื่อถามอีกว่า ตอนนี้ยังไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย แล้วจะคุยกันอย่างไร การประชุมอาร์บีซีก็เลื่อน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า แม่ทัพคุยกันอยู่ ตนบอกทางแม่ทัพว่าคุยกันไป ถ้าไม่รู้เรื่องก็คุยกันไปเรื่อยๆ ถ้าจะยิงก็ยิงกันต่อไป เขายิงมาเราก็ตอบโต้ไป ไม่ใช่ว่าเราหยุดยิง เขายิงมาแล้วเรานิ่งเฉย มันไม่ใช่ เราทำทั้งสองอย่าง เมื่อถามย้ำว่า จะเจรจาหยุดยิงไปเพื่ออะไร ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ พล.อ. ณัฐพลกล่าวว่า ถ้าเราไม่เจรจาหยุดยิงมันจะแรงกว่านี้
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังมีการยิงกันอยู่ พล.อ. ณัฐพล กล่าวว่า แต่เป็นการยิงโดยปืนเล็กและอาวุธที่ไม่ใหญ่ ซึ่งคาดว่าไม่มีการใช้จรวดหลายลำกล้อง PHL-03 หรือ ฝ่ายเรามีการใช้กำลังจากกองทัพอากาศ นั่นแหละที่ถือว่าเป็นการละเมิด ซึ่งนานาชาติจะได้เห็น แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ถ้าเขาใช้เราก็ยังไม่หยุด ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เราจะมีการตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ สมเหตุสมผล แสดงเจตนารมณ์ให้นานาชาติเห็นว่าประเทศไทยเคารพในสังคมโลกตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามการเมืองระหว่างประเทศเป็นไปตามขั้นตอน
”วันนี้เป็นแบบนี้ พรุ่งนี้อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ ขอให้ทุกคนเข้าใจ เราไม่ได้ไปเกี้ยเซียะกับใครเลย เรายึดหลักผลประโยชน์ของชาติ“ พล.อ.ณัฐพล กล่าว
เมื่อถามว่า มีใบสั่งมาหรือไม่ พล.อ. ณัฐพลกล่าวว่า “ไม่มีหรอกครับ คนอย่างผมไม่ได้สนใจหรอกว่า จะต้องมาเติบโตทางการเมือง” ตนไม่สนใจเรื่องใบสั่ง จะเอาเกียรติยศของตัวเองมาแลกตรงนี้ทำไม เป็นทหารมาทั้งชีวิต คิดว่าเพียงพอแล้ว สื่อมวลชนไม่ต้องเป็นห่วง การที่ตนยืนตอบนานๆอยากจะสื่อสารให้เข้าใจจะได้ไปสื่อสารกับสังคม แต่จริงๆ ทุกคนทราบดีว่า แม้ว่าตนจะพูดขนาดนี้ก็ยังมีสื่อบางท่านไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ตนถือว่า ได้พูดไปหมดแล้ว สื่อที่มีความเข้าใจน่าจะมีบ้าง สื่อ 30 กว่าสำนักมีเข้าใจตนสำนักเดียว ก็ดีใจแล้ว