กลายเป็นคดีฉาว เขย่าวงการต่างๆ แม้กระทั่งการมืองของสหรัฐอเมริกา ลามมาถึงทำเนียบขาว ซึ่งเป็นทั้งที่พำนักและที่ทำงานของประธานาธิบดีของประเทศ อย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยง
สำหรับ คดีความและการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาในเรือนจำของ “นายเจฟฟรีย์ เอปสไตน์” มหาเศรษฐีด้านการเงินชาวสหรัฐฯ ซึ่งถูกจับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2019 (พ.ศ. 2562) ด้วยข้อกล่าวหาในหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ก็คือ “ค้ามนุษย์” ที่มีการ “จัดหาเพื่อค้าประเวณี”
แถมมิหนำซ้ำ ก็ไม่ใช่การค้าประเวณีแบบธรรมดา ซึ่งก็น่าชังพออยู่แล้ว แต่นี่เป็นการ “ค้าประเวณีเด็ก” โดยมีลูกค้าเป็นเหล่าบรรดาผู้มีอันจะกิน คนดัง รวมไปถึงนักการเมืองสหรัฐฯ หลายคน ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาเสียชีวิตมาเกือบ 6 ปีแล้ว (เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2019 หรือ พ.ศ. 2562)
หลายคนคิดว่า คดีนี้จะถูกจำหน่าย หรือไม่ก็หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว แต่ทว่า ได้หวนกลับมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสหรัฐฯ กันอีกครั้ง
เมื่อปรากฏในหลักฐานล่าสุด ที่มีทั้งเอกสารและคลิปวิดีโอจำนวนนับหมื่นคลิป โดยสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ที่สืบสวนครั้งใหญ่ พบชื่อของ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน อยู่ใน “รายชื่อลูกค้า” ของนายเอปสไตน์ด้วย
มีรายงานด้วยว่า “รายชื่อลูกค้า” ของนายเอปสไตน์ ถูกส่งมาอยู่บนโต๊ะทำงานของ “นางแพม บอนดี” อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้ว แต่รายละเอียดของรายชื่อลูกค้าข้างต้น และความคืบหน้าในการสืบสวน สอบสวน ของคดีความดังกล่าว กลับไม่มีการเปิดเผย จนทางสาธารณชนต่างพากันสงสัย
กลับเป็นฝ่ายบรรดาสื่อมวลชนนั่นเอง ที่เป็นผู้นำเสนอรายงานความคืบหน้าของคดีนี้ ที่พบว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้าไปมีส่วนพัวพันกับนายเอปสไตน์ ในฐานะ “เพื่อนเก่า”
อย่าง “วอลสตรีทเจอร์นัล” รายงานถึงหลักฐานเป็นจดหมาย ที่นายทรัมป์ เคยส่งถึงนายเอปสไตน์ เมื่อปี 2003 (พ.ศ. 2546) เพื่ออวยพรวันเกิดครบ 50 ปี โดยจดหมายมีภาพวาดหญิงสาวเปลือยเปล่า พร้อมกับมีเนื้อหาระบุว่า “สุขสันต์วันเกิด และขอให้ทุกวันเป็นความลับอันแสนวิเศษต่อไปนะ” แถมยังมีลายเซ็นต์นายทรัมป์ กำกับทิ้งท้าย
ทำให้ตีความไปต่างๆ นานาว่า “ความลับอันแสนวิเศษ” ที่ว่านั้น คืออะไร? ไม่นับเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวของนายทรัมป์เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง ที่ชวนให้ชาวประชาจะพากันคิดในทางดีๆ ไปไม่ได้เลย
ถูกแฉกันกลางสี่แยกเยี่ยงนี้ ก็ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ควันออกหูด้วยความโกรธจัด พร้อมกับประกาศกร้าวข่มขู่ว่า จะฟ้องร้องสื่อสำนักดังกล่าว รวมไปถึงเจ้าของสื่อระดับ “เจ้าพ่อ” อย่างนายรูเพิร์ต เมอร์ด็อก กันอีกต่างหากด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พยายามฟอกตัวเองจากการคบหากับนายเอปสไตน์ ด้วยการออกมาระบุว่า เขาได้เลิกเป็นเพื่อนกับนายเอปสไตน์มานานแล้ว
แต่ไม่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ จะแก้ตัว แก้ต่างอย่างไร ณ เวลานี้ ก็กลับเป็นว่า ได้เกิดกระแสให้มีการตรวจสอบ สอบสวน สืบสวน ในคดีฉาวของนายเอปสไตน์ ให้มีการลงลึกไปในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
โดยได้มีการกดดันไปถึงนางแพม บอนดี อัยการสูงสุดของสหรัฐฯ ซึ่งอัยการผู้นี้ ก็มีรายงานว่า สนิทสนมกับประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่น้อย โดยเคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้แก่นายทรัมป์หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
พร้อมๆ กันนั้น กระแสของคดีฉาวนายเอปสไตน์ดังกล่าว ก็กล่าวกันว่า กระทบกระเทือนต่อฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่ม “มากา (MAGA)” อันเป็นกลุ่มประชาชนชาวอเมริกันที่ชื่นชอบต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่า “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” (MAGA : Make America Great Again) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม หรือมีแนวคิดแบบฝ่ายขวา
เมื่อปรากฏว่า กลุ่มมากา เกิดความสั่นคลอนในความเชื่อมั่นที่มีต่อในตัวของประธานาธิบดีทรัมป์ อันสืบเนื่องจากการที่เขาไปคบค้าสมาคมกับนายเอปสไตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีชื่อของนายทรัมป์ เป็นหนึ่งใน “ลูกค้า” ของนายเอปสไตน์ ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ค้าประเวณี ที่รวมไปถึงการค้าประเวณีเด็ก อันเป็นที่น่ารังเกียจของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ส่วนกลุ่มที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประธานาธิบดีทรัมป์เป็นทุนเดิม เช่นพวกพลพรรคเดโมแครต แทบจะไม่ต้องพูดถึง เพราะถึงขั้นรณรงค์ต่อต้านประธานาธิบดีทรัมป์ โดยได้หยิบยกประเด็นนายเอปสไตน์นี้มาถล่มโจมตีให้ย่อยยับกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ประเด็นนายเอปสไตน์ที่บังเกิดขึ้น ก็ส่งผลต่อคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์อีกต่างหากด้วยเหมือนกัน
จากการสำรวจความคิดเห็น หรือการทำโพลล์ชาวอเมริกันของสำนักโพลล์ต่างๆ ณ ชั่วโมงนี้
อาทิเช่น “ยูกอฟ” บริษัทผู้วิเคราะห์วิจัยทางการตลาดระดับนานาชาติ ซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ดำเนินการสำรวจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็พบว่า คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ ลดลงจากกาสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลายจุดจนเหลือเพียงร้อยละ 40 ส่วนผู้ที่ไม่นิยมชมชอบประธานาธิบดีทรัมป์ มีจำนวนถึงร้อยละ 55 หรือเกินกว่าครึ่ง
ส่วนการสำรวจของ “แกลลัพ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสำนักโพลล์ชื่อดังในสหรัฐฯ ปรากฏว่า ตัวเลขคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์เลวร้ายยิ่งกว่า โดยเหลือเพียงร้อยละ 37 เท่านั้น
ดูเหมือนว่า การเฉลิมฉลองการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะครบ 200 วัน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ของประธานาธิบดีทรัมป์ จะไม่ค่อยชื่นมื่นสักเท่าไหร่