วันที่ 27 ก.ค.68 พลตรีวินธัย สุวารีโฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณี โฆษก กห.กพช. โดย พล.ท.หญิง มาลีฯ โสเจียตา กล่าวว่าข้อกล่าวหา ไทยสร้างเรื่องเท็จหาความชอบธรรมเพื่อรุกราน กพช.   

ขอเรียนว่าไทยเป็นประเทศที่รักสงบไม่คิดรุกรานใคร  อย่างที่มีการกล่าวอ้าง  กรณีมีปัญหาก็จะใช้แนวทางสันติวิธี  อาศัยความอดทนอดกลั้นมาตลอด  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ ด้วยเป็นฝ่ายเริ่มต้นในการใช้กำลังก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นจะต้องใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองเนื่องจากถูกรุกราน  โดยที่ฝ่ายกัมพูชาเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน    

ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าฝ่ายกัมพูชา มักการละเมิดในกฎกติกา และหลักมนุษยธรรมสากล มีการใช้จรวดพิสัยไกลแบบไม่เลือกเป้า (indiscriminate weapons) ใช้อาวุธปืนใหญ่ และจรวด ยิงถล่มใส่ชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ไมีใช่เป้าหมายทางทหาร อยู่หลายครั้ง  ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการจงใจโจมตีเป้าหมายพลเรือน  รวมถึงการนำอาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลไปตั้งในเขตชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้กลับ ถือเป็นการใช้ “Human Shields” ซึ่งผิดอนุสัญญาเจนีวา  อีกทั้งมีการใช้เด็กและผู้หญิงเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เพื่อหลอกลวงสายตาประชาคมโลก  เพื่อหวังให้เข้าใจว่าตนเองนั้นคือผู้ถูกกระทำ  สิ่งต่างๆ ดังที่กล่าวไปในข้างต้นเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์  ที่มิอาจปฏิเสธได้   ขอเรียนว่ากัมพูชาเองเป็นฝ่ายที่กำลังพยายามบิดเบือนสายตาของประชาคมระหว่างประเทศไม่ใช่ฝ่ายไทย 

สำหรับกรณีการพบมีกระสุนปืนใหญ่ไปตกที่ ชายแดนของ สปป.ลาว จำนวนมากถึง 10 นัดนั้น ในพื้นที่บริเวณนั้นมีเพียงไทยและกัมพูชา เท่านั้นที่มีการใช้อาวุธต่อกันอยู่ในช่วงนี้   และเมื่อฝ่ายไทยยืนยันแล้วว่าปืนใหญ่ของไทยไม่มีการยิงไปยังทิศทางในพื้นที่บริเวณนั้น   จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นการยิงไปโดยปืนใหญ่ของทางฝ่ายกัมพูชา   ประกอบกับที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธยิงระยะไกล ทั้งปืนใหญ่ และจรวดผิดพลาดต่อเป้าหมายมาตลอดอยู่บ่อยครั้ง

กองทัพไทยยืนหยัดในการป้องกันตนเองป้องกันการรุกราน  และปกป้องอธิปไตย โดยใช้กำลังทางทหารตามตวามเหมาะสมของสถานการณ์ ภายใต้กฎกติกาหลักสากล