เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ กล่าวหาว่าในช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ราชอาณาจักรไทยได้เปิดฉากโจมตีทางทหารต่อกัมพูชาอย่างจงใจ ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ โดยถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา
แถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีของไทยละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมาตรา 2(4) ที่ห้ามใช้กำลังหรือขู่ใช้กำลังต่ออธิปไตยหรือเอกราชทางการเมืองของรัฐอื่น พร้อมกล่าวหาว่าไทยใช้กำลังทหารขนาดใหญ่ รวมถึงกำลังภาคพื้นดิน ปืนใหญ่หนัก เครื่องบิน F-16 และระเบิดคลัสเตอร์ โจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน เช่น วัด ศูนย์สาธารณสุข ปั๊มน้ำมัน ตลาด หมู่บ้าน และบริเวณมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ทำให้พลเรือน โดยเฉพาะสตรี เด็ก และผู้สูงอายุ ตกอยู่ในอันตราย ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและอนุสัญญาเจนีวา
นอกจากนี้ กัมพูชายังกล่าวหาไทยว่า แทนที่จะลดความตึงเครียด กลับเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ และประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดตราดและจันทบุรี ซึ่งมีพรมแดนติดกับจังหวัดเกาะกงและพระตะบองของกัมพูชา พร้อมทั้งส่งกำลังและอาวุธเข้าสู่ชายแดนฝั่งบันเตียเมียนเจย ภายใต้แผนเตรียมรบ "จักรพงษ์ ภูวนารถ" ซึ่งฝ่ายกัมพูชาระบุว่าแสดงเจตนาชัดเจนว่าไทยจะขยายปฏิบัติการรุนแรงต่อเนื่อง
แถลงการณ์ยังตอบโต้ข้อกล่าวหาของไทยเรื่องการวางกับระเบิด โดยระบุว่าเป็นข้ออ้างเท็จที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อเปิดทางให้แผนรุกกว้างขึ้นของไทย พร้อมย้ำว่าเป็นกลยุทธ์รุกรานที่ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างจงใจ
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเรียกร้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC), สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) และทุกภาคีระหว่างประเทศให้ร่วมประณามการรุกรานของไทยโดยทันที และดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อหยุดการปฏิบัติการทางทหารของไทย
ในตอนท้าย กัมพูชายืนยันว่า ประเทศมีสิทธิอันชอบธรรมตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติที่จะแสดงสิทธิในการป้องกันตนเอง และจะยืนหยัดปกป้องประชาชน อธิปไตย และดินแดนของตนอย่างเด็ดขาดต่อการรุกรานจากภายนอก