หมายเหตุ : “ภราดร ปริศนานันทกุล” อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในฐานะ สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” เปิดใจถึงการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านภายหลังมีการปรับครม.ใหม่ “พรรคภูมิใจไทย” เปลี่ยนสถานะ เดินคนละทางกับ “พรรคเพื่อไทย ในท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองอันดุเดือด ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา
- การหาเสียงเลือกตั้งซ่อมสส.ศรีสะเกษ เขต 5 เป็นอย่างไรบ้าง
เราไปกันตั้งแต่วันแรกที่มีการเปิดรับสมัครเลือกตั้งซ่อมสส.ศรีสะเกษ เขต 5 โดยพรรคภูใจไทยได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน มีคู่แข่งคือพรรคเพื่อไทย
-สนามเลือกตั้งเขต 5 ที่ศรีสะเกษ ครั้งนี้ น่าจะถือเป็นศึกช้างชนช้าง เพราะมีแค่พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย
เข้าใจว่าถึงวันนี้น่ามีแค่ 2 พรรคเท่านั้น ซึ่งทางพรรคภูมิใจไทยเอง เราตั้งใจและคาดหวังกับการเลือกตั้งซ่อมในเขตนี้มากพอสมควร และเป็นสนามแรกของการเลือกตั้งซ่อม ในฐานะที่พรรคมาเป็นฝ่ายค้าน เราพยายามที่จะนำเสนอแนวทาง นำเสนอเหตุผล จะพยายามพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ให้ได้มากที่สุด ในส่วนของหัวหน้าพรรค ,เลขาฯพรรคและกรรมการบริหารพรรค ได้คุยกับสมาชิกในพรรคว่าหากใครมีเวลาว่าง ขอให้ไปช่วยพรรคหาเสียง เนื่องจากช่วงเวลาในการหาเสียงค่อนข้างกระชั้นมาก โดยจะมีการเลือกตั้งซ่อม ในวันที่ 10 ส.ค.68 เรียกว่าไม่ถึง 30 วันหลังจากที่ ลงสมัคร
เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ผู้สมัครเอง ไปเดินเคาะประตูบ้านทุกหลังคาเรือน ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเช่นนี้ คงเป็นไปได้ยาก เราได้มีการพูดคุยกันกับระดับหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ท่านก็มอบหมายให้สมาชิกช่วยกันลงพื้นที่ ทราบว่า ตอนนี้กำลังทำกำหนดการ ทำตารางอยู่
-มีการจับตาศึกเลือกตั้งซ่อม สนามศรีสะเกษ เขต 5 ว่าการปราศรัยค่อนข้างดุเดือดกันทีเดียว คนจึงมองว่าการมาเป็นฝ่ายค้านของพรรคภูมิใจไทย ครั้งนี้เป็นการสางแค้นกับพรรคเพื่อไทย ด้วยหรือไม่ และผลการเลือกตั้งซ่อม 1 เสียงจึงถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างมาก ผลแพ้-ชนะจะสะท้อนต่อภาพใหญ่ อย่างไร
จริงๆแล้ว ไม่ใช่เป็นฝ่ายแค้น เมื่อมีพื้นที่ว่างลง พรรคเราในฐานะในอดีต ก่อนหน้าที่จะมาเป็นสส.พรรคเพื่อไทย เขตนี้ก็เคยเป็นพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทย คือคุณพ่อของผู้สมัคร ในปัจจุบันนี้เคยเป็นสส.ศรีสะเกษ เขตนี้มาก่อน ดังนั้นพรรคจึงอยากที่จะมีโอกาสได้กลับมาดูแลพื้นที่นี้อีก และจริงๆแล้วสนามเลือกตั้งสส. ที่ศรีสะเกษ แห่งนี้ พรรคภูมิใจไทย เราพยายามที่จะขยายในพื้นที่ภาคอีสาน ให้ได้มีการตัวแทนของพรรค เพื่อที่จะได้มีการนำนโยบายของพรรค ไปเสนอต่อพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด
เพราะฉะนั้นชัยภูมินี้ สนามรบนี้ ที่สำคัญอีกหนึ่งสนาม ของพรรคภูมิใจไทย เราจะปักธงเพิ่ม ในพื้นที่ ศรีสะเกษ จากเดิมมีสส.อยู่ 2 เขต จะให้ขยายเป็น 3 เขต
-สนามการเลือกตั้งนายกอบจ. เป็นของพรรคภูมิใจไทย ถือว่ามีส่วนที่จะช่วยสนับสนุนการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต5 รอบนี้ได้หรือไม่
จริงๆแล้วการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น กับการเลือกตั้งในระดับชาตินั้นค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างกันมากพอสมควร โดยในระดับท้องถิ่นจะอาศัยความสนิท คุ้นเคยและความขยันขันแข็งในการทำหน้าที่ ในฐานะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัด
ส่วนในภาพใหญ่ ระดับประเทศจะมีอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นรูปแบบการต่อสู้ ในเชิงโครงสร้างมากขึ้น ในเชิงนโยบาย และภาพรวมมากขึ้น ซึ่งต้องไปนำเสนอกับพี่น้องประชาชนว่า วันนี้ ระหว่างเลือกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ประชาชนจะได้ประโยชน์แบบไหน
-ในปัจจุบัน ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย นับว่ามีความสำคัญต่อการเลือกตั้ง อาจจะลดน้อยถอยลง แต่เมื่อเวลานี้พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ดูแล กระทรวงมหาดไทย ขณะเดียวกันฝ่ายที่เป็นคู่แข่ง ได้ไปดูแลกระทรวงมหาดไทยแทน จะส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ในการวางตัว หรืออำนาจต่างๆ
ผมคิดว่าในฐานะ ของฝ่ายบริหาร ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การลงไปในพื้นที่ ที่กำลังมีการแข่งขันหรือมีการเลือกตั้งกันโดยตรงเช่นนี้ ผมคิดว่า ต้องระมัดระวัง สำหรับฝ่ายบริหารเอง เพราะเป็นการใช้เวลาราชการไปดำเนินการ
ผมเข้าใจว่ากรณีที่ท่านภูมิธรรม เวชยชัย รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ไปงานชรบ.ที่ผ่านมานั้น ไปในนามรมว.มหาดไทย ไปในนามรัฐมนตรีที่ไปแก้ไขปัญหา ในพื้นที่ ก็ถือว่าเป็นการดีที่รัฐมนตรี เข้าใจและลงไปดูแลใส่ใจในพื้นที่ต่างๆ
แต่ในช่วงที่มีการเลือกตั้งอยู่นั้น คนที่เป็นฝ่ายบริหารต้องระมัดระวัง ว่าหมวกทั้งสองใบที่ท่านใส่อยู่ในฐานะผู้ใหญ่ ของพรรคการเมืองที่อยู่ในสนามแข่งขัน และหมวกอีกหนึ่งในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะรมว.มหาดไทย ต้องแยกแยะออกจากกันให้ชัดเจน
- น่าจะมีผลกระทบในเชิงจิตวิทยาการเมืองพอสมควรหรือไม่
คนที่เป็นรัฐมนตรี หรือคนที่เป็น ข้าราชการในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยหรือข้าราชการในจังหวัด หรือแม้กระทั่งนายอำเภอ บางคน ที่เพิ่งย้ายไป บางคนจึงยังไม่มีสิทธิกาบัตรด้วยซ้ำไป ดังนั้นการตัดสินใจทั้งหมด ทั้งสิ้นเชื่อว่า จะอยู่ที่พี่น้องประชาชน จะตัดสินใจเลือกแบบไหน มากกว่า ส่วนเรื่องการใช้ตำแหน่งไปกดดันข้าราชการ
เชื่อว่านายภูมิธรรม รมว.มหาดไทย ในฐานะที่ท่านคร่ำหวอดทางการเมืองมายาวนาน เชื่อว่าท่านมีวุฒิภาวะพอ รู้ว่าอะไรควรและไม่ควร ขณะที่ ท่านลงพื้นที่ไป ท่านสวมหมวกใบไหน สวมหมวกในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ท่านคงไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ไปในการหาเสียงเลือกตั้งเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพรรค หรือให้เกิดผลเสียกับพรรคตรงข้าม หรือพรรคที่เป็นคู่แข่งขัน ผมยังเชื่อมั่นใจวุฒิภาวะของคนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ
- ถอยออกมาดูภาพใหญ่ ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย จะเรียกว่าอยู่ในฐานะที่ถูกไล่บี้ เช็กบิล มีคดีความต่างๆ เรื่องเขากระโดง รวมทั้งการวางตัวข้าราชการ ก็ได้ประกาศออกมาแล้วที่เพิ่งมีการโยกย้ายในส่วนของกระทรวงมหาดไทย เป็นการไล่บี้ และล้างบาง พรรคตั้งรับอย่างไร
จริงๆแล้วคนที่อยู่ในอำนาจ ผมขอพูดในภาพรวมว่า การใช้อำนาจต้องดูถึงความเหมาะสมด้วย ดูความสมเหตุสมผลด้วย การที่จะไปโยกย้ายข้าราชการหรือแม้แต่ข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือการกดดัน ข่มขู่ ผมคิดว่าผู้ที่ถืออำนาจรัฐอยู่ การบริหารจัดการความรู้สึกของคนในองค์กร เชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ผมยังเชื่อว่า การที่จะทำให้องคาพยพขององค์กรขับเคลื่อนไปได้ ในทิศทางของเจ้ากระทรวงได้ ต้องไม่ใช่การขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกหวาดกลัว มันต้องไม่ใช่ ด้วยการข่มขู่ หรือพยายามใช้อำนาจไปข่มเหง รังแก ซึ่งการที่จะใช้อำนาจ เพื่อให้งานขับเคลื่อนได้ ต้องใช้เมตตา ต้องใช้ธรรมาภิบาล
เพราะการโยกย้าย การข่มขู่ถามว่าอำนาจมีหรือไม่ในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ก็บอกว่าสามารถทำได้ แต่สังคมจะบอกเองว่า การโยกย้ายของท่านมันมีความเหมาะสมหรือไม่ เหตุผลในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง มีมากเพียงพอหรือไม่
-มีการพูดกันว่าตอนนี้เกิดอารยะขัดขืน ในส่วนของข้าราชการบางส่วนอาจจะเกียร์ว่างได้ เนื่องจากอาจจะรอให้พรรคภูมิใจไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีก
ไม่ต้องรอแล้ว เราเป็นพรรคฝ่ายค้านแล้ว ผมเชื่อในความเป็นมืออาชีพของข้าราชการไทย พูดกันอยู่เสมอว่าคนเป็นนักการเมืองมาแล้วเดี๋ยวก็ไป เต็มที่ก็อยู่ตามวาระไม่เกิน 4 ปี นักการเมืองมาวางนโยบาย สุดท้ายแล้วก็ไป ส่วนคนที่จะอยู่ต่อ คือข้าราชการในกระทรวงนั้น ๆ
ซึ่งการที่จะปฏิบัติตามนโยบาย เบอร์หนึ่งของกระทรวงหรือไม่ ก็อยู่ที่การบริหารจัดการคน หากทำด้วยการข่มขู่ ข่มเหงเขา ผมเชื่อว่าไม่มีใคร ยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับใครหรอก การบริหารจัดการคนต้องใช้เหตุผล ใช้หลักธรรมาภิบาล ใช้ความเมตตา
-มีการบอกว่าพรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือพรรคราชการ และพรรคที่จะรู้ทิศทางการเมืองมากที่สุด ก็คือพรรคราชการ ดังนั้นมีการพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่จะไปกันต่อ หากรัฐบาลเกิดอุบัติเหตุ มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยก็อาจจะติดเงื่อนไข สุดท้ายก็อาจไปพึ่งอดีตนายกฯ คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มองกันต่อว่าจุดนี้พรรคภูมิใจไทยอาจได้กลับเข้ามาจับมือกับพรรคเพื่อไทยอีก
ผมคิดว่ามองไกลไป ตอนนี้ต้องยอมรับว่านายกฯก็ยังเป็นคุณแพทองธาร อยู่ แม้จะอยู่ในขั้นตอนการหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาลฯ แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ ต้องรอฟังคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นคุณ ก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอีกประมาณ 1ปีกว่า
แต่หากเป็นโทษ คือให้นายกฯพ้นจากตำแหน่ง สิ่งนี้จะทำให้สภาฯไปสรรหานายกฯคนใหม่ จากเสียงข้างมาก ของสภาฯ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นก็ต้องมาดูว่าเสียงข้างมากของสภาฯจะเดินไปถึงวันไหน แล้วจึงค่อยไปพูดกันว่า นายกฯคนใหม่ จะเป็นใคร จะดำเนินแนวนโยบายแบบไหน หรือจะไปจับขั้วกันอย่างไร ค่อยมาพูดภายหลัง
-หากนายกฯคนใหม่ เป็นคุณอนุทิน
แคนดิเดตนายกฯยังเหลืออีก 5 ท่าน ที่ยังอยู่ในตะกร้า แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมาเป็นหนึ่งใน ห้าคนได้ แต่สำหรับวันนี้ด้วยสถานะของท่าน อยู่เหนือการเมืองไปแล้ว การไปพูดถึงท่านแบบนี้จะมีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน แม้ท่านจะยังอยู่ในแคนดิเดตนายกฯ ก็ตาม
ต่อมาที่ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ยังสามารถเป็นนายกฯได้อยู่ หากสภาฯ เลือกท่านเข้ามา เช่นเดียวกับ คุณอนุทิน หรือจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็สามารถเป็นได้
-แต่ถ้าเป็นคุณชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย จะติดล็อกหรือไม่ กรณีมาตรา 112
มีการพูดคุยกันในสังคมอยู่ ในประเด็นนี้ แต่สุดแท้แต่ ถ้าเสียงข้างมากในสภาฯ เลือกคุณชัยเกษม ไปเป็นนายกฯคนถัดไป ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น ก็อาจจะมีการตีความทางสังคมได้ ก็เกิดความเคลือบแคลงทางสังคมได้ ส่วนจะเดินไปถึงจุดไหน ผมก็ยังไม่รู้ ยังไม่มีใครตอบได้
-ถ้ากรณีหากเป็นคุณอนุทิน โดยที่พรรคประชาชน จะสนับสนุนแต่จะไม่มาร่วมเป็นรัฐบาลด้วย ถ้าเราไม่เอาสมการตัวเลข ตรงนี้เท่ากับว่าจะอยู่ไปเพื่อรอยุบสภาฯ
เรื่องนี้พรรคประชาชน เองก็ไม่ได้บอกชัดเจน ว่าทางเขาจะยกมือให้ใคร เพียงแต่กำหนดมาว่า ในกรณีที่ตำแหน่งนายกฯ ว่างลงสิ่งที่พรรคประชาชนคิดและเงื่อนไขของเขาจะเลือกนายกฯ มีกี่ข้อ ก็ว่าไป โดยที่เขาไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นคุณอนุทิน พล.อ.ประยุทธ์ หรือใคร ดังนั้นผมว่ายังเร็วไปในขณะที่ยังมีนายกฯคนเดิมอยู่ตอนนี้
แต่ก็ถือเป็นฉากทัศน์ทางการเมืองว่าจะเดินไปตรงไหน ได้บ้าง เพียงแต่ในรายละเอียดของแต่ละฉากทัศน์คงจะไปลงรายละเอียดได้ยาก เนื่องจาก เหตุการณ์ยังไม่เกิด
-คุณอนุทิน ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าถึงอย่างไรก็จะไม่กลับไปรวมกับพรรคเพื่อไทยอีก
บนสถานการณ์เช่นนี้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง หมายความว่า ในกรณีที่นายกฯแพทองธาร เกิดอุบัติเหตุไป ถูกศาลฯสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง โอกาสที่พรรคภูมิใจไทย จะกลับไปร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเองนั้น ผมเชื่อว่าสิ่งที่หัวหน้าพรรคพูดและคิด เพราะท่านเชื่อว่า ท่านฟังเสียงประชาชน เขาเห็นแล้วว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีความชอบธรรมแล้ว ในการบริหารประเทศ ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้แล้ว ทั้งในเรื่องของคลิปเสียง หรือความจริงใจกับนโยบายกาสิโน ว่าจะเดินหน้ากันแบบไหน เพราะฉะนั้นโอกาสช่วงสั้นๆตอนนี้ คิดว่าคงยากเต็มที่ แต่หลังเลือกตั้งผมว่าด้วยกติกาทางการเมือง ด้วยกติกาของรัฐธรรมนูญที่เป็นแบบนี้ ออกแบบมาเพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งโตเกินไป ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นรัฐบาลผสม
และเมื่อถึงวันนั้นก็ต้องมาดูแนวนโยบาย ต้องมาคุยกันอีกทีว่านโยบายของรัฐบาลผสมข้างหน้า จะเป็นไปในรูปแบบไหน แต่ยังเป็นเรื่องอีกยาว ในช่วงระยะสั้นๆนี้ โอกาสที่จะกลับไปรวมกัน คิดว่าคงเป็นไปได้ยาก