ชายแดนไทย–กัมพูชาเดือดระอุอีกครั้ง (อัปเดต 24 กรกฎาคม 2568) อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นรุนแรงขนาดนี้ในรอบหลายปี จรวด BM21 ของกัมพูชาตกใส่หมู่บ้านและชุมชนในฝั่งไทย สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างร้ายแรง จนกองทัพไทยไม่มีทางเลือก ต้องตัดสินใจตอบโต้ทันทีตามสิทธิในการป้องกันตัวตามกฎบัตรสหประชาชาติ คำถามใหญ่ที่สังคมทั้งไทยและนานาชาติกำลังจับตาคือ ทำไมกัมพูชาถึงเลือกยั่วยุให้เกิดการปะทะ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า หากรบเต็มรูปแบบ ไทยเหนือกว่าแทบทุกมิติ?
เกมปั่นป่วนเพื่อ "สร้างภาพเหยื่อ" บนเวทีโลก
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่กัมพูชาอาจเลือกจุดไฟชายแดน คือการสร้างภาพจำว่าตัวเองเป็น “เหยื่อ” ที่ถูกรุกราน แล้วนำไปขยายผลในเวทีโลก เพื่อเรียกร้องความเห็นใจและสนับสนุนจากประเทศต่างๆ หากทำให้ไทยถูกมองว่าเป็นฝ่ายรุกรานหรือใช้กำลังเกินกว่าเหตุ กัมพูชาจะได้คะแนนทางการทูต โดยเฉพาะจากชาติพันธมิตร เช่น จีน หรือบางประเทศในอาเซียน
การยิง BM21 ใส่พื้นที่พลเรือนฝั่งไทยจึงอาจไม่ใช่ความผิดพลาด แต่คือการวางหมากให้ไทยจำเป็นต้องตอบโต้ เมื่อไทยเริ่มโจมตี กัมพูชาสามารถนำไปขยายผลได้ว่า “ถูกไทยรุกราน” ซึ่งขายง่ายบนเวทีโลก
เกมดึงไทยเข้าสู่ "สนามเจรจาใหม่" ด้วยแรงกดดัน
กัมพูชาอาจมองว่า การใช้ไฟชายแดนเป็นเครื่องมือบีบให้ไทยกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาในเงื่อนไขที่ตนเองได้เปรียบ ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหารและปราสาทตาเมือนธม ยังคาราคาซังไม่ต่างจากปี 2554 หากกัมพูชาสร้างสถานการณ์ให้ไทยถูกมองว่าเป็นผู้รุกราน อาจก่อแรงกดดันให้ไทยต้องกลับไปเจรจาตามกรอบที่กัมพูชาวางไว้ เช่น ยอมรับเงื่อนไขการตีความแผนที่ปี 2505 ของศาลโลก หรือถอยทหารออกจากบางจุดยุทธศาสตร์
ใช้ไฟชายแดนกลบปัญหาภายในกัมพูชาเอง
กัมพูชาในยุคของฮุน มาเนต ต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศอย่างหนัก ทั้งเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำและเสียงวิจารณ์รัฐบาลใหม่ที่ยังอยู่ใต้เงาของฮุน เซน การสร้างศัตรูภายนอกเป็นวิธีที่รัฐบาลเผด็จการหลายประเทศใช้เพื่อหันเหความสนใจประชาชน เมื่อมีข่าวว่าทหารไทย “รุกล้ำและทำร้ายพลเรือนกัมพูชา” รัฐบาลกัมพูชาสามารถใช้เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยม สร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจพิเศษและควบคุมภายในประเทศ
กัมพูชาอาจประเมินว่า "ไทยไม่กล้ารบยืดเยื้อ"
แม้จะรู้ดีว่าในแง่ศักยภาพทางทหาร ไทยเหนือกว่าชัดเจน แต่กัมพูชาอาจประเมินว่า รัฐบาลไทยในปัจจุบันอยู่ในสภาพเสียงปริ่มน้ำและเผชิญแรงกดดันทางการเมืองภายในอย่างหนัก ไทยไม่อยากให้เศรษฐกิจมีปัญหาเพิ่มเติมจากสงคราม ขณะที่รัฐบาลต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนโยบายเศรษฐกิจที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ กัมพูชาอาจเชื่อว่าการยั่วยุให้ปะทะเฉพาะจุด จะทำให้ไทยไม่กล้าใช้กำลังเต็มรูปแบบและท้ายที่สุดต้องยอมเจรจา
ไทยตอบโต้แบบ "เลี่ยงไม่ได้"
ครั้งนี้ ไทยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตอบโต้ทันทีด้วยเหตุผลสำคัญ หนึ่ง – การยิง BM21 ใส่พลเรือนคือเส้นแดงที่ไทยไม่อาจนิ่งเฉยได้
สอง – ไทยมีสิทธิในการป้องกันตัวตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 และได้รายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที
สาม – ไทยย้ำชัดว่าจะจำกัดเป้าหมายเฉพาะทางทหาร ไม่แตะต้องปราสาทโบราณหรือทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการยืนยันว่าไทยปกป้องอธิปไตยแต่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
หากรบเต็มรูปแบบ ใครได้เปรียบ?
ข้อได้เปรียบของไทย:
• ศักยภาพทางทหารเหนือกว่า โดยเฉพาะกำลังทางอากาศและปืนใหญ่ระยะไกล
• ระบบลำเลียงและโลจิสติกส์ดีกว่า เพราะพื้นที่รบใกล้เขตชุมชนไทย
• ได้แรงสนับสนุนจากประชาคมโลก หากถูกมองว่าเป็นฝ่ายป้องกัน
ข้อเสียเปรียบของไทย:
• พื้นที่รบเป็นเขตภูเขาและป่าแน่น ลดประสิทธิภาพอาวุธหนัก
• แรงกดดันทางการเมือง รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำอาจไม่กล้าเดินเกมรบยืดเยื้อ
ข้อได้เปรียบของกัมพูชา:
• ยึดพื้นที่ได้ก่อน ตั้งฐานและวางกับระเบิดล่วงหน้า
• ความสัมพันธ์กับบางประเทศ เช่น จีน
ข้อเสียเปรียบของกัมพูชา:
• ศักยภาพทางทหารด้อยกว่า
• ระบบลำเลียงยากลำบาก
• เสี่ยงถูกกดดันจากนานาชาติหากถูกมองว่าเป็นฝ่ายรุกราน
เกมยั่วยุที่เสี่ยงพาประเทศสู่หายนะ
แม้กัมพูชาจะมีเหตุผลทางการเมืองและยุทธศาสตร์ที่ผลักให้เลือกเดินเกมยั่วยุชายแดน แต่การท้าทายไทยครั้งนี้คือการเล่นกับไฟที่อาจย้อนกลับมาเผาผลาญตัวเอง หากไฟชายแดนไม่ถูกดับด้วยการเจรจาหรือแรงกดดันจากอาเซียนและประชาคมโลก ไทย–กัมพูชาอาจเผชิญสงครามจำกัดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี และครั้งนี้… ไทยอาจจำเป็นต้องขยี้ให้จบอย่างเด็ดขาด เพื่อยุติภัยคุกคามที่ยืดเยื้อมานาน
#ฮุนเซน #สงครามชายแดน2568 #ชายแดนไทยกัมพูชา #BM21 #ศึกตาเมือนธม #ทหารไทย #กองทัพกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #ปราสาทตาเมือนธม #CambodiaOpenedFire #กองทัพอากาศ #กองทัพอากาศ #กองทัพบก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด