“พิชัย” เผยบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะงบ 4 หมื่นล้านบาท รับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐ ทบทวนคำขอท้องถิ่นหวั่น เตรียมชง ครม. สัปดาห์หน้า
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนองบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้าน ที่ยังคงเหลืออีก 42,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการรับมือผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา
"งบ 4.2 หมื่นล้านเอาไปแก้ปัญหาหลักๆ ก็เรื่องนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ของนายทรัมป์ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนใหญ่ที่นำเงินไปใช้" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ยังเปิดเผยความคืบหน้าเรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐว่า มีกำหนดการหารือกับทางสหรัฐอีกรอบในวันนี้
เมื่อถามว่าข้อเสนอที่ยื่นเพิ่มเติมไปมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง นายพิชัยกล่าวว่า อย่าเรียกว่ายื่นข้อเสนอเพิ่มเติมเลย เรียกว่าเป็นการตอบคำถามของสหรัฐที่จะสอบถามเราเพิ่มเติมดีกว่า
เมื่อถามว่าอัตราภาษีตอบโต้ที่ไทยจะได้รับนั้นจะแข่งขันกับประเทศอื่นๆในอาเซียนได้หรือไม่ นายพิชัย ตอบว่าในฐานะคนทำงานเราก็ต้องตั้งความหวังแบบนั้นอยู่แล้ว
ทั้งนี้นายพิชัย ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาภายในข้อเสนอ ซึ่งประเทศในกลุ่มอาเซียนหลายประเทศได้รับอัตราภาษีในช่วง 19-20% โดยไทยต้องการอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจและการค้าในภูมิภาค
ด้าน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี พ.ศ.2568 ใหม่ ปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2568 จาก 1,500,000 คัน ลดลงร้อยละ 3.33 เป็น 1,450,000 คัน ลดลง 50,000 คัน โดยปรับเป้าเฉพาะผลิตเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 5 จาก 1,000,000 คันเป็น 950,000 คัน
ขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศยังคงประมาณการณ์เดิมอยู่ที่ 500,000 คัน ทั้งนี้ สอดคล้องกับยอดผลิตรถยนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2568) อยู่ที่ 724,715 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.80% โดยเป็นผลจากยอดผลิตเพื่อส่งออกอยู่ที่ 475,013 คัน ลดลง 7.98% ตามยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป อยู่ที่ 459,357 คัน ลดลง 11.50%
โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับลดเป้าหมายการผลิตเพื่อการส่งออก ดังนี้ มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อมูลค่าการค้าโลกภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อและยอดจำหน่ายรถยนต์ลดลง,การเพิ่มความเข้มงวดด้านข้อกำหนดการปล่อยคาร์บอน,การยุติการผลิตรถยนต์บางรุ่นเพื่อปรับไลน์การผลิตสู่รุ่นใหม่,ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคของโลก,การรุกตลาดของรถยนต์ในประเทศคู่ค้า ซึ่งเพิ่มการแข่งขันและกดดันยอดขาย
“หากการเจรจาขอลดภาษีสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐไม่สำเร็จ โดยไทยยังถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 1% จะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมรถยรนต์ และสินค้าต่างๆ รวมถึงแรงงานจะได้รับผลกระทบด้านรายได้ลดลงตามไปด้วย”