ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

การแบ่งขั้วแบ่งข้างกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นในโลกปัจจุบัน ขณะที่ผู้นำเดี่ยวอย่างสหรัฐฯ ก็พยายามฉุดรั้งเพื่อให้ตนยังคงสถานะเป็นผู้นำอยู่ต่อไป

ด้านเศรษฐกิจการเงิน สหรัฐฯกำลังวางแผนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในปี 2025 และในปีถัดไป และจะมีผลทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง 10.8% ทั้งนี้จะทำให้หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นจากการผ่านงบประมาณ BIG BEAUTIFUL BUDGET ของทรัมป์ก็จะขยับขึ้นเป็นประมาณ 36 ล้านล้านแต่เบาลง เนื่องจากเหตุ 2 ประการคือ ดอกเบี้ยลดลง และอีกประการคือเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นมากัดหนี้ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงลดลงและภาระการจ่ายดอกเบี้ยก็ลดลง

อนึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการที่ค่าเงินลดลงจะช่วยกระตุ้นการส่งออกเพราะราคาลดลง

ในขณะที่ประเทศต่างๆต้องเร่งหาทางเลือกใหม่แทนดอลลาร์ ซึ่งไปเข้าทางของกลุ่มบริกส์ ที่จะพยายามพึ่งพาดอลลาร์น้อยลง

จีน ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร ได้ทิ้งพันธบัตรสหรัฐฯไปแล้วรวม 810,000 ล้านดอลลาร์ และธนาคารกลางหลายประเทศก็เร่งสะสมทองคำมากขึ้น เพื่อใช้เป็นทุนสำรอง แม้แต่ยุโรปที่เคยแต่เทขายทองก็เร่งตุนทองสำรองแทนดอลลาร์

ผลกระทบจากการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯทำให้ ผลตอบแทนพันธบัตร (Yeild) 10 ปีพุ่งขึ้นไปที่ 4.592% ทำให้ต้นทุนกู้ยืมของสหรัฐฯสูงขึ้นอย่างมาก และความเชื่อมั่นในดอลลาร์ก็ลดลง

แต่การที่มีการเทขายพันธบัตรอย่างรุนแรง อาจทำให้เฟดต้องเข้าซื้อพันธบัตรแบบฉุกเฉิน และจำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น

สหรัฐฯ จึงดำเนินการตามแผนคือสิ่งที่เรียกว่า Stratagic Bitcoin Reserve นั่นคือสร้างสินทรัพย์สำรองแห่งชาติด้วยเงินคริปโต 5 สกุล คือ Bitconi Ethereum XRP Solana และ ADA เพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์

ส่วน BRICS ก็รีบเร่งดำเนินการในสิ่งที่เรียกว่า BRICS PAY SYSTEM คือ สร้างระบบการชำระเงินแบบกระจายอำนาจที่เป็นอิสระจากเงินดอลลาร์ โดยใช้ Blockchain เป็นฐานในการทำธุรกิจด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละประเทศ

ผลกระทบต่อระบบการเงินโลก คือ การที่ต่างฝ่ายต่างก็หาทางสร้างความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินของตน หรือแนวทางตน นั่นคือการยึดดอลลาร์กับการทิ้งดอลลาร์

โดยสหรัฐฯ พยายามรักษาตำแหน่งของตนด้วยการนำเอาเงินคลิปโตเข้ามาหนุนดอลลาร์ และกำลังวางแผนจะขยับไปใช้เงินดิจิทัลหรือ CBDC ในอนาคต

ในขณะที่ BRICS สร้างทางเลือกที่ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาดอลลาร์และSwiftในระบบการเงินระหว่างประเทศ ที่สหรัฐฯควบคุมอยู่ แต่ทั้ง 2 แนวทางใช้เทคโนโลยีเดียวกัน คือ ระบบ Block Chain

การเผชิญหน้าระหว่างสองระบบนี้จะมีทั้งความขัดแย้งและความเป็นไปได้ในการผสมผสาน โดยมีหลายมิติที่น่าสนใจ

อนึ่งทรัมป์ได้ทำการขู่สมาชิก BRICS ว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศเหล่านั้นถึง 100% แต่ตอนนี้บอกว่าจะเพิ่ม 10% เป็นเบื้องต้น

ทว่าสมาชิก BRICS ครอบคลุมประชากรโลกถึง 55% และ GDP 42.2% (วัดจาก PPP ) ซึ่งไม่ใช่ง่ายที่ทรัมป์จะมากดดัน

การแข่งขันของทั้ง 2 ระบบนี้ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ เพราะสหรัฐฯที่เป็นแชมป์อยู่จะไม่ยอมเสียตำแหน่งง่ายๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Deep State ที่มีผลประโยชน์จากการที่ได้ใช้กลไก ความเป็นหนึ่งของสหรัฐฯ ในการสร้างสมประโยชน์มาเป็นเวลายาวนาน ดังเช่น อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน และอื่นๆ

หากสหรัฐฯ ต้องการรักษาอำนาจและตำแหน่งไว้ก็คงต้องใช้สงครามเป็นเครื่องตัดสินเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อก่อให้เกิดระเบียบโลกใหม่อีกครั้งหนึ่ง

แต่ที่แน่ๆในขณะนี้ยุคโลกาภิวัตน์ได้พังทลายลงไปแล้ว โลกจะแบ่งเป็นส่วนๆเป็นภูมิภาค ซึ่งจะทำให้ระบบซัพพลายเชนที่เคยมีมาก่อนต้องหยุดชะงักลง และจะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ประกอบกับระบบการค้าที่ชะงักงัน เพราะระบบการเงินที่กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง โลกจึงมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อและชะงักงันที่เรียกว่า Stagflation สูง

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วประเทศไทยควรทำอย่างไรดี ประเด็นแรกปัญหาเฉพาะหน้าคือความผันผวนของระบบการเงิน ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการนโยบายการเงิน จึงจะต้องทำการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ เช่น การปรับปรุงการใช้นโยบายการเงิน เพราะเป็นการยากที่จะควบคุมปริมาณเงินในสภาพปัจจุบัน โดยเฉพาะการบริหารจัดการคลิปโตที่แม้ไม่ใช่เงินแต่ใกล้เงิน(Near Money) การดำเนินการบริหารเงินดิจิทัล CBDC ซึ่งธนาคารชาติได้ดำเนินการทดลองใช้อยู่แล้วกับธนาคารบางแห่ง

นอกจากนี้กลไกการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยไปยังระบบเศรษฐกิจจริง (Real Sector) อาจมีการเปลี่ยนแปลงซับซ้อนขึ้น รวมทั้งอัตราการหมุนเวียนของเงิน (Velocity) และความผันผวนของราคาสินทรัพย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาผสมผสานนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง ซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการการจ่ายและภาษีให้สอดคล้องกัน

อนึ่งธนาคารจะต้องพิจารณาและดำเนินการปรับสัดส่วนของทุนสำรองเงินตรา เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์หรือสินแร่มีค่าอื่นๆ เช่น เงิน ทองคำขาว และแม้แต่คลิปโตเคอเรนซี่ หรือ Stable Coin หรือ กระจายความเสี่ยงการถือสกุลเงินต่างประเทศซึ่งบางอย่างยังไม่เคยทำมาก่อน

นอกจากการปรับยุทธศาสตร์ด้านการเงิน การคลังแล้ว ประเทศไทยต้องสร้างสมดุลทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น การรวมกลุ่มกันทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อสร้างอำนาจในการต่อรอง เช่น กลุ่ม ASEAN และ กลุ่ม BIMSTEC

ยิ่งไปกว่านั้นต้องรักษาจุดยืนในความเป็นกลาง โดยเคร่งครัด เช่น การไม่ยอมให้ต่างชาติมาใช้ประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการทหาร อันจะเป็นการนำสงครามมาสู่ประเทศหากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ การเงินนี้รุนแรงถึงขั้นประทุเป็นสงคราม ซึ่งมีความเป็นไปได้ ในระดับเสี่ยงสูง