ในการเสวนาวิชาการราชบัณฑิตสัญจร เมื่อเร็วๆ นี้ เรื่อง ทางออกที่ยั่งยืนในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันโดยเฉพาะใน 2 ประเด็นหลัก คือ ไทยยังขาดข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม ที่จำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อใช้เปรียบเทียบก่อนและหลังการแพร่ระบาด และหลักการในการจ่ายเงินชดเชย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดการปัญหานี้

อีกทั้งปลาหมอคางดำ แม้จะถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มปลาสายพันธุ์ต่างถิ่น” (Alien Species) แต่ทั้งภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าปลาหมอคางดำรับประทานได้ มีคุณค่าทางอาหาร สามารถนำไปเป็นอาหารและแปรรูป สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งสอดคล้องกับบทเรียนในอดีตอย่าง “หอยเชอรี่” ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญโดยเฉพาะในนาข้าว แต่ปัจจุบันมีการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ด้วยการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม 

ส่วนการเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่นักวิชาการให้ข้อคิดไว้อย่างน่าสนใจ ว่า จำเป็นต้องนำหลักการเศรษฐศาสตร์เข้ามาใช้คำนวณอัตราการชดเชย และจำเป็นต้องใช้ข้อมูลกลางที่ได้การรับรองว่าถูกต้องเป็นหลักฐานอ้างอิง นั่นคือ ข้อมูลรายได้ย้อนหลังจากกรมสรรพากร เพื่อให้การพิจารณาเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ในการเสวนาครั้งนี้ นายอุกกฤต สตภูมินทร์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาการจัดการและแก้ปัญหาปลาหมอคางดำยังเป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น แต่ยังขาดข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ (Quantitative Data and Qualitative Data) ซึ่งการแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องมีข้อมูลอ้างอิงหลักทั้งก่อนและหลังการแพร่ระบาดของปลาในการช่วยวัดผลการเปลี่ยนแปลงอย่างแม่นยำ ดังนี้

  • องค์ประกอบของสัตว์น้ำในพื้นที่ก่อนการระบาด
  • ข้อมูลประชากรและขนาดของปลาหมอคางดำในช่วงเวลาต่างๆ
  • ผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ
  • การแข่งขันหรือแย่งอาหารกับสายพันธุ์พื้นถิ่น

“ข้อมูลในปัจจุบันอย่างเดียวไม่สามารถวัดได้ชัดเจนและตอบคำถามเชิงนิเวศไม่ได้ จำเป็นต้องมีข้อมูล Baseline ในการเปรียบเทียบและต้องตรวจวัดต่อเนื่อง เพื่อเรียนรู้และศึกษาการขยายอิทธิพลของปลาหมอคางดำว่ามีผลกระทบต่อปัจจัยหลักอย่างไร” นายอุกกฤต กล่าว 

ด้าน ดร.วรัณทัต ดุลยพฤกษ์ อาจารย์ประจำคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญการประเมินผลกระทบทางน้ำ กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่มีข้อมูล Baseline ที่เป็นระบบเกี่ยวกับปลาหมอคางดำ หรือแม้แต่ข้อมูลจากประเทศต้นทางของปลาอย่าง กานา และ โกตดิวัวร์  แต่มีนโยบายและมาตรการในการแก้ปัญหา คือการจับปลาออกจากแหล่งน้ำ ใช้เป็นอาหารและแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม 

ที่น่าสนใจมาก คือ การประเมินการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากปลาหมอคางดำ ต้องคำนวณบนหลักการทางเศรษฐศาสตร์และกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาใช้ โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญเป็นหลักฐานอ้างอิง เช่น รายได้ย้อนหลังจากการเสียภาษีของเกษตรกร ซึ่งจำเป็นต้องมาจากกรมสรรพากร รวมถึงต้องตรวจสอบความเสียหายจากปัจจัยรอบด้านที่ตรวจสอบได้ เช่น การลงทุน มูลค่าความเสียหาย กำไรและโอกาสในการสร้างรายได้

นอกจากนี้ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำ เห็นพ้องกันว่าทางออกของปลาหมอคางดำในระยะยาวต้องอาศัยเทคโนโลยีเชิงนิเวศ เช่น eDNA (Environmental DNA) เพื่อตรวจสอบการแพร่กระจายของปลาอย่างแม่นจะช่วยให้การเฝ้าระวังและการจับปลามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และอาจจะขยายไปถึงการศึกษาใช้สารชีวภาพ (biopesticide) ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ เพื่อควบคุมประชากรปลาให้อยู่ในพื้นที่จำกัด ขณะที่การจับให้มากที่สุดและนำไปแปรรูปเป็นอาหาร หรือ น้ำหมักชีวภาพ (ปุ๋ย) เป็นทางรอดที่เหมาะสมในระยะสั้น

“สำหรับปลาหมอคางดำ ธรรมชาติจะปรับตัวเพื่อรักษาสมดุล แต่ถ้าเราสู้ไม่ได้ก็แต่งงานกับมัน” ดร.วรัณทัต กล่าว

ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กรมประมงรายงานผลการติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในพื้นที่แหล่งน้ำ ธรรมชาติรวม 21 จังหวัด จำนวน 204 แหล่งน้ำ พบการแพร่ระบาดของปลาใน 19 จังหวัด ซึ่งปัจจุบันลดเหลือ 17 จังหวัด โดยไม่พบความชุกชุมมากในจังหวัดใด (100 ตัว/พื้นที่ 100 ตารางเมตร) ชุกชุมปานกลาง 11 จังหวัด (10-100 ตัว/พื้นที่ 100 ตารางเมตร) ชุกชุมน้อย 6 จังหวัด (10 ตัว/พื้นที 100 ตารางเมตร) และสำรวจไม่พบ 2 จังหวัด (พัทลุงและปราจีนบุรี) โดยจับปลาได้ทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 จำนวน 6.455 ล้านกิโลกรัม และยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมจับปลาและปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง

โดย : สมสมัย หาญเมืองบน นักวิชาการอิสระ