สภาพอากาศทั่วโลก ณ ชั่วโมงนี้ ต้องถือว่าแปรปรวนสร้างความปั่นป่วนในหลายภูมิภาค อย่าง “ประเทศไทย” เรา ก็เผชิญกับ “ฝุ่นจิ๋ว” ฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาด “พีเอ็ม2.5 (PM2.5)” ที่เกินค่ามาตรฐานกันในหลายสิบพื้นที่ จนติดกลุ่มแถวหน้าของโลก ทาบชั้นกับบรรดาเมืองใน “อินเดีย” และปากีสถาน ตลอดจน “จีนแผ่นดินใหญ่” ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเจ้าของตำแหน่งแถวหน้า “มลภาวะอากาศของโลก” อันเป็นหนึ่งในผลพวงของจากสภาพอากาศแปรปรวนแห้งจัดด้วยอากาศหนาวเย็นที่ไทยเราผจญ ณ เวลานี้ จนไร้เสียซึ่ง “ความชื้น” เป็นเหตุให้ฝุ่นละอองลอยฟุ้งกลุ้มรุม ขณะเดียวกัน ทางด้านซีกเหนือของโลกเรา คือ “ทวีปยุโรป” และ “ทวีปอเมริกาเหนือ” ก็เผชิญหน้ากับ “ภัยหนาว” อย่างเย็นสุดยะเยือกชนิดที่ไม่เคยประสบมาก่อน คือ หนาวเย็นเป็นประวัติการณ์ ภาพมุมสูงแสดงพื้นที่เขตตัวเมืองของนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐฯ ที่ขาวโพลนเพราะถูกหิมะปกคลุมแทบจะทั่วบริเวณ หลังลมวนขั้วโลก พัดกระหน่ำจนทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงติดลบกว่า 20 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะที่ “สหรัฐอเมริกา” ปรากฏว่า กำลังผจญกับภัยหนาวที่หนักหนาสาหัสกว่าใครในชั่วโมงนี้ ถึงขนาดระบุกันว่า หนาวเย็นสุดยะเยือกยิ่งกว่าบริเวณขั้วโลกเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ก็เป็นผลพวงจาก “ลมวนขั้วโลก (Polar Vortex)” พัดกระหน่ำเข้ามา นั่นเอง จนเป็นเหตุให้หลายพื้นที่บริเวณ “มิดเวสต์” รัฐทางตะวันตกตอนกลาง มีอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศาเซลเซียส โดยบางแห่ง เช่น รัฐมินนิโซตา อุณหภูมิลดต่ำลงติดลบถึง 50 องศาเซลเซียส และก็แน่นอนว่า หิมะก็กระหน่ำตกลงมาจนขาวโพลนหลายสิบเซนติเมตร รวมถึงแหล่งน้ำ ที่กลายสภาพเป็นธารน้ำแข็ง ไปโดยฉับพลัน อาทิ “น้ำตกมินเนฮาฮา” ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ที่กลายสภาพเป็นธารน้ำแข็ง หลังเผชิญหน้ากับสภาพอากาศที่หนาวจัดเป็นประวัติการณ์ สภาพของ “น้ำตกมินเนฮาฮา” ในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐฯ ที่กลายเป็นน้ำแข็ง ผลพวงจากภัยหนาวครั้งประวัติศาสตร์หนนี้ ก็กระทบกับความเป็นอยู่ของประชาชนชาวลุงแซมกว่า 200 ล้านคน ถึงขนาดที่หลายรัฐต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และจัดตั้ง “ศูนย์หลบภัยหนาว (Warming Center)” กันในหลายพื้นที่ พร้อมทั้งมีคำเตือนแก่ประชาชนเป็นประการต่างๆ เช่น อย่าอยู่นอกเคหสถานนานเป็นสิบนาที เพราะถูกหิมะกัดได้ หรือการให้พูดจากันแต่น้อย ด้วยเสียงเบาๆ เป็นต้น ซึ่งถึง ณ เวลานี้ ได้มีผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวจัดแล้วอย่างน้อย 11 ราย เช่นเดียวกับ “แคนาดา” เพื่อนบ้านสหรัฐฯ ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือด้วยกัน ก็ผจญสภาพอากาศที่หนาวจัดติดลบนับสิบองศาเซลเซียส โดยเฉพาะเฉพาะที่ รัฐออนแทรีโอ ก็มีอุณหภูมิติดลบถึง 18 องศาเซลเซียส จนหิมะตกขาวโพลนด้วยปริมาณสูงกันแทบจะทั่วบริเวณ ไม่เว้นกระทั่ง “ไนแอการา” น้ำตกอันเลื่องชื่อ ก็กลายสภาพเป็นน้ำแข็ง น้ำตกไนแอการา รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ที่กลายสภาพเป็นธารน้ำแข็ง และบริเวณใกล้เคียงก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะปริมาณสูง ส่วนที่ภูมิภาคยุโรป ก็เผชิญหน้ากับภัยหนาวอย่างสุดยะเยือกใกล้เคียกัน โดยหลายประเทศ ตกอยู่ในสภาพขาวโพลน ด้วยหิมะที่ตกลงมา เช่น เบลเยียม เยอรมนี ฝรั่งเศส ไม่เว้นกระทั่งเกาะอังกฤษ ซึ่งนอกจากส่งผลต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว ระบบคมนาคม ทั้งทางบกและทางอากาศ ก็มีปัญหา โดยเที่ยวบินหลายสายต้องถูกระงับไปชั่วคราว ลานจอดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเซบรึคเคอ เขตฟลานเดอร์ส ประเทศเบลเยียม ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ซึ่งตกลงมาจนท่วมรถยนตร์ที่จอดไว้ ขณะที่ “ออสเตรเลีย” ประเทศอีกฟากโลก คือ ซีกโลกใต้ ปรากฏว่า ผจญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดอย่างเป็นประวัติการณ์ แบบตรงข้ามกับกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือ โดยเฉพาะในช่วงเดือน ม.ค.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ถูกยกให้เป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด โดยบางวันอุณหภูมิสูงถึง 45 องศาเซลเซียส สภาพอากาศที่ร้อนจัดในประเทศออสเตรเลีย ทั้งนี้ ทั้งหมดทั้งปวงก็ถือว่า เป็นสภาพอากาศแปรปรวนสร้างความปั่นป่วนให้แก่พิภพที่ชาวโลกเราต้องพึงตระหนักเร่งหามาตรการแก้ไขคลี่คลายด้านสิ่งแวดล้อมกันโดยแท้