วันที่ 18 ก.ค.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะรองประธานกมธ.ฯ เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณางบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากมธ.ฯ ได้ซักถามต่อความชัดเจนต่อการเสนอของบประมาณในหลายโครงการที่พบว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และไม่สมเหตุสมผล รวมถึงมีบางโครงการที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นการเปิดช่องให้มีกาาทุจริต คอรัปชั่นในงบประมาณของสภาฯ ได้

โดยนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ กมธ.ฯ ซักถามว่า ที่รัฐสภามีห้องประชุมเพื่อไว้รองรับการประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่รัฐสภา แต่ล่าสุดตนได้ยินว่าจะยุบ 3 ห้องประชุมของกมธ.ฯ เพื่อใช้เป็นห้องประชุม ครม.อีก โดยตั้งงบไว้ 117 ล้านบาท ซึ่งตนไม่เห็นด้วย และขอคำชี้แจง นอกจากนั้นแล้วในการจัดสรรงบประมาณ มีโครงการที่ตั้งไว้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ภายนอกอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นงบซ่อมอาคารและพื้นที่ทั้งที่อาคารอยู่ในระยะประกัน โดยรายละเอียดระบุว่าเป็นการจ้างงานดูแลระบบวิศวกรรม อาคารรัฐสภาและอาคารประกอบ ซึ่งตนทราบว่าบริษัทที่จะได้รับงานดังกล่าวเป็นบริษัทที่มีกิจการร่วมค้ากับบริษัทผู้รับเหมารายเดิมและบริษัทที่ได้รับงานไอซีทีของรัฐสภา ซึ่งตนมองว่าหากอยู่ในระยะประกันควรให้บริษัทผู้รับจ้างเป็นผู้รับผิดชอบไม่ใช่ใช้เงินของสภาฯ ไปดำเนินการ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าเลขาธิการสภาฯ ทราบดีว่าในงานก่อสร้างนั้นส่วนที่มีผลประโยชน์หรือกำไรคือ งานส่วนไอซีทีที่มีการบวกมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์

“ในช่วง 3-4 เดือนนี้ เลขาธิการสภาฯ อย่าลงนามในสัญญาจ้างใดๆ เพราะแม้ว่าจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่คดีที่ถูกยื่นต่อ ป.ป.ช. นั้นตามติดตลอดชีวิต ซึ่งในหลายโครงการของรัฐสภา ผมเชื่อว่าจะมีการคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร และหากเป็นไปได้ ผมขอให้ถอนโครงการ เพราะจากงบก่อสร้างรัฐสภา 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้รวมค่าซ่อมด้วย ต้องใช้งบร่วม 2 หมื่นล้านบาท” นายวิสาร กล่าว

ขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะ กมธ.ฯ ตั้งคำถามต่อการเสนอของบประมาณของสภาฯ เพื่อใช้ในโครงการจัดซื้อรถนำขบวนของประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ รวม 3 คัน มูลค่ารวม 8 ล้านบาท รวมถึงงบประมาณเพื่อจัดซื้อเรือ ได้แก่ เจ็ตสกี จำนวน 2 ลำ เรือตรวจการ จำนวน 2 ลำ มูลค่า 40 ล้านบาท และเรือรับรอง 1 ลำ มูลค่า 40 ล้านบาท รวมงบประมาณซื้อเรือทั้ง 3 ประเภทนั้นมูลค่ากว่า 82 ล้านบาท ซึ่งมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน

ด้านนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคปชน. ในฐานะกมธ. อภิปรายท้วงติงต่อการโอนงบประมาณที่เสนอขอในปี 2568 ไปทำโครงการอย่างอื่น เช่น งบพัฒนาเยาวชน 19 ล้านบาท ไปเป็นค่าคุรุภัณฑ์ เพื่อปรับปรุงห้องจัดเลี้ยง ชั้นบี 1 และบี 2 ย้ายงบ 11 ล้านบาทไปทำไฟส่องสว่างริมแม่น้ำ ย้ายงบเกี่ยวกับกล้องซีซีทีวีของสภาฯ 10 ล้านบาท ไปเป็นเรื่องของจอแอลอีดี นอกจากนั้นแล้วพบว่ายังมีการโอนงบประมาณเพื่อพัฒนาเยาวชนเกี่ยวกับประชาธิปไตย จำนวน 35 ล้านบาท เพื่อนำไปปรับปรุงภูมิทัศน์ คือ น้ำพุ

“กรณีลักไก่แบบนี้ ทำไม่ได้ ต้องตัดทิ้ง อย่างการย้ายห้องสมุดมาอยู่ชั้น 1 พบว่ากรมโยธิการและผังเมืองมาออกแบบแล้ว ตามที่ประธานสภาฯ ดำริไว้ ซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว” นายภัณฑิล กล่าว

จากนั้น ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาฯ ชี้แจงว่าประเด็นการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณนั้น เพราะมีการพิจารณาว่าควรแก้ปัญหาด้านต่างๆ สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จึงขอเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ในส่วนของการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ วงเงิน 200 ล้านบาทเป็นงบผูกพันนั้น โดยจะมีพื้นที่ MB1 และชั้น 11 ยังอยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่ามีนาคม 2569 จะได้ข้อสรุป ทั้งนี้ ในส่วนดังกล่าวจะมีค่าควบคุมงาน 6-7 ล้านบาท ส่วนห้องสมุดที่ของบประมาณจัดสร้างใหม่นั้น ข้อเท็จจริงห้องสมุดที่อยู่บริเวณชั้น 9 ไม่ได้ยกเลิก แต่จะสร้างเพิ่มเติมที่ชั้น 1 ซึ่งมีแบบที่ขอความอนุเคราะห์แล้ว ทั้งนี้แต่ยังไม่มีงบดำเนินการ ขณะที่ประเด็นเรือตรวจการและเรือรับรองนั้น ได้ปรับตัดออกไปแล้ว ขณะที่อาคารจอดรถนั้นได้ยกเลิกอีบิดดิ้งแล้ว ส่วนอนาคตจะมีอีกหรือไม่ ต้องให้เป็นส่วนที่เลขาธิการสภาฯ คนใหม่จะพิจารณาตามที่ได้รับมอบนโยบายจากประธานสภาฯ

เลขาธิการสภาฯ ชี้แจงต่อว่า ห้องประชุม ครม.นั้น จะใช้พื้นที่ห้องริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณชั้น 2 ติดกับห้องของ สส. โดยจะปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้พักรอระหว่างพิจารณาของสภาฯ และส่วนที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีองค์ประชุมใกล้เคียงกัน ซึ่งไม่ได้เบียดบังห้องกมธ.แต่อย่างใด ขณะที่โครงการปรับปรุง ศาลาแก้วเพิ่มไว้รองรับผู้มาวางพวงมาลา และพานพุ่มในวันสำคัญ แต่เมื่อพื้นที่ต้องปรับปรุงพื้นที่ลานราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 และต้องมีพระราชพิธี ดังนั้น จึงต้องเตรียมความพร้อมของสถานที่ ส่วนงบประมาณจะมีเท่าไรที่เหมาะสมต้องพิจารณาอีกครั้ง