เบื้องหน้าเจรจาฉะฉาน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม คล้ายเป็น “ผู้ชนะ” อยู่ในที แต่เบื้องลึกแล้ว ใครจะบอกได้ว่า  คนอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 จะไม่รู้หรือว่า หนทางที่เขาเองกำลังเดินไปข้างหน้านี้ มันไม่ง่ายดาย เหมือนกับที่เขาได้มีโอกาส กลับประเทศไทย จาก “ดีลลับ”  สุดพิสดาร เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา

หลังจากที่ ทักษิณ ถูก “อดีตเพื่อนรัก”  อย่าง “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ไลฟ์สด “แฉข้ามประเทศ” เปิดเผยว่า รู้เรื่องการเมืองไทยหมด เพราะทักษิณ เป็นคนเล่าให้ฟังเอง มิหนำซ้ำยังเตรียมที่จะบอกกับคนไทยด้วยว่า ทักษิณ นั้นมีพฤติการณ์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างไรบ้าง ซึ่งประเด็นนี้ คาดว่าสมเด็จ ฮุน เซน อาจจะเก็บเอาไว้เป็น “ไพ่เด็ด” เพราะยังไม่มีการบอกออกมาก

ทักษิณ ยอมรับว่าเขาเองรู้สึกช็อคและโกรธที่ อดีตเพื่อนรัก แอบอัดคลิปการสนทนา กับนายกฯแพทองธาร ว่าด้วยปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และมีการพูดจาพาดพิง ไปถึง “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าไม่ใช่พวกเดียวกับรัฐบาล ทั้งที่แม่ทัพภาค 2 รับมือกับปัญหาในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

และจากประเด็นคลิปเสียงการพูดคุยกัน อย่างไม่เป็นทางการระหว่าง นายกฯแพทองธาร กับสมเด็จ ฮุน เซน ได้ทำให้ลูกสาวทักษิณ ตกที่นั่งลำบาก  เนื่องจากเธอเองต้องรอลุ้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะชี้ออกมาว่า “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” หรือไม่ ในอีกราว 1 เดือนข้างหน้านี้

ล่าสุด นายกฯแพทองธาร ยังยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอขยายเวลาส่งคำชี้แจง ออกไปอีก 15 วัน กรณีคำร้องเรื่องคลิปเสียง ยิ่งทำให้มีการ “ตีความ” กันไปไกลว่า หากไม่มีประเด็นที่น่าหนักใจ เหตุใด ฝ่ายกฎหมายของนายกฯแพทองธาร ต้องยื่นคำร้องขอขยายเวลาออกไป จะถือว่าเป็นการ “ต่อลมหายใจ” หรือไม่

ขณะเดียวกัน ตัวทักษิณ เอง แม้เขาเองมีโปรแกรมเดินสายลงพื้นที่ ทั้งการไปวัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา 19 กรกฎาคม เพื่อเป็นประธานเททอง ทอดผ้าป่า สร้างหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อตรึงความสนใจจากพี่น้องชาวโคราช

หรือการวางคิว นัดรับประทานอาหารกับ “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ตลอดจนสส. ในวันที่ 22 กรกฎาคม นี้ เพื่อ “กระชับไมตรี” หลังจากที่มีการตั้งครม.ใหม่ “แพทองธาร 1/ 2” เพื่อให้แน่ใจว่า รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ยังสามารถเดินหน้าไปกันต่อได้ แม้จะหวาดเสียว ต้องคอยลุ้นว่า จะไม่เกิดเหตุ “สภาล่ม” ก็ตาม

และแม้ทักษิณ จะมีคิวเดินสายโชว์วิชั่น ในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ผ่านเวทีสื่อ พร้อมๆกันนี้ยังใช้เป็น “ช่องทาง”  ตอบโต้ สวนกลับ ในประเด็นร้อน เพื่อไม่ให้ต้องจม ต้องหาย ไปพร้อมๆกัน ทั้งพ่อและลูกสาว

แต่ดูเหมือนว่าการออกมาปรากฏตัวของทักษิณ  อาจไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทั้งเขาเองและนายกฯอิ๊งค์ เจอพิษจากการออกมาแฉข้ามประเทศ โดยสมเด็จ ฮุน เซน ยิ่งเป็นเหมือนการทำลายความเชื่อถือ  ไม่ว่าจะพูดอะไร หรือตอบโต้ อย่างไร ก็กลับไม่เป็นผลในทางบวก

ไม่เช่นนั้น ผลจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ผ่านโพลหลายสำนัก คงไม่สะท้อนออกมาในทิศทางเดียวกัน ว่าอยากให้นายกฯอิ๊งค์ ยุบสภาหรือลาออก  หรือการที่มีเสียงเรียกร้อง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกฯ กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง

นอกจากนี้ ในภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด มิหนำซ้ำกำลังจะถูกกระแทกซ้ำด้วย “นโยบายกำแพงภาษี” จากสหรัฐฯที่เพิ่งประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย สูงถึง 36 % ทั้งที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ  ต่างพากันส่งเสียง “เตือน” ไปยังรัฐบาลอย่านิ่งนอนใจ เพราะประเทศเพื่อนบ้านเรา ต่างพยายามต่อรองกับ สหรัฐ ฯ จนสามารถลดตัวเลขการเก็บภาษี จนสำเร็จ อย่างเวียดนาม

แม้ทักษิณได้เล่นบทนำ ด้วยการเข้าร่วมประชุม “ทีมไทยแลนด์” ที่บ้านพิษณุโลก ที่ผ่านมา แต่จนถึงเวลานี้ กลับยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบ่งชี้ได้ว่าไทยจะเจอกับผลกระทบที่น้อยลง ต่ำกว่า 36 %

การดิ้นรนเพื่อหาทาง “สู้” เพื่อรักษา “เก้าอี้นายกฯ” เอาไว้ให้ แพทองธาร สำหรับทักษิณ คือความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าต่อ  แม้จะต้องเผชิญหน้ากับ “แรงกดดัน” รอบทิศจาก “มวลชน” นอกสภา นำโดย กลุ่มรวมพลังแผ่นดินที่มีทั้ง “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำม็อบพันธมิตร ฯ จับมือกับ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์  อดีตลูกน้องเขาเอง ประกาศขับไล่ทั้ง นายกฯแพทองธาร ไปจนถึง “ตระกูลชินวัตร” โดยมีแนวโน้มว่า ถ้ายังไม่ถึงเป้าหมาย จะไม่ยอมเลิกรา

ขณะที่ ทักษิณ กำลังเร่งฝีเท้า พา “พรรคเพื่อไทย” บุกไปข้างหน้า ในยามที่ “กระแสนิยม” นั้นอ่อนแรงเต็มที ปรากฏว่า วันนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะไปสู่ “ฝ่ายค้าน” และยังเป็น “ฝ่ายแค้น” เสมือนโจทก์เก่าที่กลับมารบกันต่อ  โดยได้เคลื่อนไหวทางการเมือง ตอบโต้ สวนกลับ พรรคเพื่อไทย ยิบตาเช่นกัน

โดยเฉพาะการหยิบเอาประเด็นว่าด้วยคลิปเสียงฮุน เซน ไปพูดบนเวทีปราศรัยเลือกตั้งซ่อมสส.ศรีสะเกษ เขต 5 อย่างดุเดือด จนทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องสั่ง “ทีมกฎหมาย” ถอดเทปเตรียมดำเนินคดี หากทำให้เกิดความสียหาย

ไม่ใช่เพราะจะทำให้ “ผู้สมัคร” ของพรรคเพื่อไทยเพลี้ยงพล้ำเท่านั้น แต่ที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่คือการ บั่นทอนเครดิตของนายกฯแพทองธาร ไม่ว่าที่สุดแล้วคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะชี้ออกมาว่านายกฯผิดจริยธรรมร้ายแรง จริงหรือไม่ก็ตาม

ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2568 ย่อมแตกต่าง อย่างสิ้นเชิง กับคนชื่อทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544 เขาเป็นเหมือนพยัคฆ์ติดปีก หลังพาพรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้ง ยึดครองสังเวียนทางการเมือง อีกทั้งยังพ้นจากคดีซุกหุ้น ในปี 2544 อันลือลั่นมาแล้ว

แต่ทักษิณ ในวันนี้ดูเหมือนว่าเขาเองกำลัง สู้อย่างสุดฤทธิ์ เพื่อรักษาอำนาจให้กับลูกสาว และประคับประคอง พรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองเจเนอเรชันที่ 3 ให้อยู่ไปได้จนตลอดรอดฝั่ง ขณะเดียวกัน ทุกคดีที่เขาเองตกเป็น “จำเลย” ทั้งคดีชั้น 14ที่อยู่ในศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งคดีนี้อาจทำให้ทักษิณ ต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำ

ขณะที่คดีมาตรา 112  ปรากฏว่าศาลอาญา นัดฟังคำชี้ชะตาในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ออกมาแล้ว  และคดีนี้นี้เองที่ ยังทำให้เขาไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้  ตามคำสั่งของศาลฯ

สิ่งที่ทักษิณ อดหวั่นไหว หวาดวิตกไม่แพ้เสียงเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร เพื่อเอานายกฯแพทองธาร ออกไปจากอำนาจฝ่ายบริหารเท่านั้น หากแต่ “นิติสงคราม”  ผ่านคดีและคำร้องต่างหาก ที่อาจถึงขั้น “ฝังกลบ” ทั้งตัวทักษิณ ,นายกฯอิ๊งค์ ไปจนถึงการพา “พรรคเพื่อไทย” ไปสู่ “ฉากจบ”  ไปพร้อมๆกัน  จากคดียุบพรรค ที่ปล่อยให้ ทักษิณ มาครอบงำ  !