วันที่ 18 ก.ค.2568 เวลา 11.30 น.ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงความพยายามเจรจาภาษีสหรัฐฯ ของรัฐบาล ว่า ตนได้ติดตามอยู่ตลอด ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลง ที่เป็นสาระสำคัญ การลดภาษี 0% จาก 90% ของรายการสินค้าทั้งหมด เป็นสิ่งที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยมาแต่แรกอยู่แล้ว ผลของการเจรจา จึงยังไม่มีใครรู้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภายในเดดไลน์ที่จะถึงนี้  ได้แต่ส่งกำลังใจ สวดภาวนา เพราะเราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง การที่เราต้องดีล หรือเจรจา กับประธานาธิบดี แบบ โดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งทำให้คาดเดาอะไรไม่ได้

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ตามที่ได้เปิดเผยไปก่อนหน้านี้ ที่ทางเวียดนามเอง ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับข้อตกลง ที่ทรัมป์ ประกาศ และในถ้อยแถลงการณ์ที่วางไว้ ว่าจะแถลงด้วยกัน ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น  จึงไม่แน่ใจว่าทางอินโดนีเซีย จะเจอภาวะแบบเดียวกันหรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าการเจรจาในระดับรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร แต่ท้ายที่สุด ก็ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว ว่าจะประกาศอะไรออกมา จึงคาดเดาผลค่อนข้างยาก

ได้แต่หวังว่าเราจะได้อัตราภาษีที่ยังพอแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้  ในสินค้าหลักของไทย ที่ไม่ได้หนีไปจากเพื่อนบ้านสักเท่าไหร่ แม้การหนีจากเพื่อนบ้านไม่มาก ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นอัตราภาษีที่ดี และต้องอย่าลืมว่าการจบที่ 18% ตามที่หลายหน่วยงานคาดการณ์ ก็ยังจะทำให้ GDP 2568 -2569 ตกต่ำมากอยู่ดี และหลังจากการเจรจารอบสุดท้าย ก่อนที่จะถึง 1 สิงหาคมนี้ อยากให้รัฐบาล เปลี่ยนโฟกัส มามีสมาธิกับเรื่องการเยียวยาผลกระทบ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในปลายปี 2568 ต่อเนื่องไป 2569

เมื่อถามว่าจะมีข้อแนะนำใดไปถึงทีมเจรจา น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2568  ที่อนุมัติไป 1.1 แสนล้านบาท เหลือไม่มากแล้ว อีก 4 หมื่นล้านบาท ดูเหมือนว่ายังทะเลาะกันไม่จบว่าจะแบ่งให้ใคร และไปในพื้นที่ไหนบ้าง โอกาสที่จะใช้ 4 หมื่นล้านบาทที่เหลือ ก็คงน้อยลงเรื่อยๆ เพราะเหลือไม่ถึง 2 เดือน ก็จะหมดปีงบประมาณ เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

แต่ศึกหนัก ฝนฟ้าคะนอง พายุเศรษฐกิจ ที่จะโหมกระหน่ำใส่เราในปี 2569 จะยิ่งหนักกว่านี้ และเราไม่ได้เตรียมเม็ดเงินไว้เลย ไม่มีกระเป๋าสำรองใดๆทั้งสิ้น มีอย่างมากก็แค่ 2.5 หมื่นล้านบาท ที่อยู่ในงบ 2569 จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล

“อยากให้ นายพิชัย  ชิณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ช่วยชี้แจงในห้องงบประมาณ ว่ามีแนวทาง และนโยบายอย่างไรในการเตรียมเม็ดเงินไว้ สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ ในปี 2569 ต้องการให้ กมธ. และอนุกมธ. ตัดลดงบประมาณหรือไม่ ซึ่งต้องมีแนวทางจากหัวโต๊ะ

เพราะการตัดงบประมาณในที่ประชุม ขณะนี้แล้วแต่หน่วยงานจะพิจารณาตัวเอง ที่ตัดเฉพาะไขมัน ยังไม่ได้เร่งรัดที่จะเปลี่ยนลำดับความสำคัญใหม่ ในการการตัดงบประมาณที่เพิ่มขึ้น การตัดอย่างต่ำๆ ต้องอย่างน้อย แสนล้านบาท เพื่อที่จะเตรียมไว้ในปี 2569 ซึ่งอาจหนีไม่พ้นการออกพ.ร.บ.หรือพ.ร.ก.เงินกู้” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว