สถานการณ์ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ละเอียดอ่อน จากความเคลื่อนไหวของ สมเด็จฮุนเซนแห่งกัมพูชา รวมถึงสถานการณ์ตึงเครียด ระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนอยู่แล้ว

กระแสข่าวเรื่อง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะยอมให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพเรือที่ฐานทัพเรือพังงาตำบลทับละมุ  อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา  เพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์  ยิ่งเป็นประเด็นที่เปราะบางอ่อนไหวอย่างยิ่ง

เป็นที่น่าสังเกตว่า  กองทัพเรือไม่มีการชี้แจงเรื่องนี้  อย่างเป็นทางการ มีเพียงแต่รายงานข่าวโดยไม่ระบุแหล่งข่าวที่ชัดเจนจากในหน้าสื่อมวลชน เท่านั้น

ขณะที่นายภูมิธรรม  เวชยชัย  รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย อดีตรมว.กลาโหม  ที่ปัจจุบันเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี  ก็ตอบแบบไม่ชัดเจน  และไม่แม่นในข้อมูล จึงยิ่งโหมกระแสข่าว  เพราะพูดเหมือน ยอมรับว่ามีแผนที่จะให้สหรัฐมาตั้งฐานทัพที่พังงาจริง แต่เป็นคนละเรื่อง กับการเจรจาต่อรองลดภาษีของสหรัฐฯ จนสื่อมวลชนนำไปพาดหัวว่ายอมรับมีแผนการตั้งฐานทัพจริง

จน  นายภูมิธรรม ก็ต้องออกมาแก้ข่าวด้วยตนเองว่าที่พูดกับสื่อไป  ไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่สื่อมวลชนไปตีความ และเข้าใจผิด บิดเบือนเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเสียหาย พร้อมแสดงความไม่สบายใจ กับการทำหน้าที่ของสื่อ พร้อมขู่ว่าถ้าหากยังเป็นแบบนี้อีกต่อไปจะไม่ให้สัมภาษณ์แล้ว

นายภูมิธรรม  ชี้แจงว่าทราบแต่ว่าเป็นแผนของกองทัพเรือที่จะพัฒนาฐานทัพเรือพังงา ซึ่งเป็นฐานทัพเรือ ฝั่งอันดามันอยู่แล้วเพราะเคยคุยกับทางกองทัพเรือแต่ติดขัด เรื่องปัญหางบประมาณ

โดยยืนยันว่าสหรัฐอเมริกา ยังไม่เคยมายื่นข้อเสนอ หรือเจรจาพูดคุยกับตนเองในเรื่องที่จะขอใช้ฐานทัพเรือพังงา  แต่อย่างใด  ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ต่อรองในการลดภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ

ขณะที่รายงานข่าวจากกองทัพเรือ ระบุว่า กระแสข่าวว่าสหรัฐจะมาขอตั้งฐานทัพที่ฐานทัพเรือพังงาอาจเกิดจากข้อมูล ที่ทางสหรัฐ โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหม ของสหรัฐฯ เคยพบปะกับตัวแทนของกระทรวงกลาโหมไทย และหารือกันนอกรอบว่า สนใจจะสนับสนุนงบประมาณให้กองทัพเรือในการพัฒนาฐานทัพเรือพังงา

โดยทางกลาโหมได้แจ้งให้พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์  ผู้บัญชาการทหารเรือ  รับทราบในเบื้องต้นแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้พล.ร.อ.จิรพล  ได้ไปตรวจเยี่ยมฐานทัพเรือพังงาและรับทราบแผนการพัฒนาฐานทัพเรือพังงา แล้วที่พบว่าต้องใช้งบประมาณหลายพันล้านบาท  โดยจะทำเป็นเฟส โดยเฟสแรก  ในงบประมาณปี 2569 จำนวน 700 ล้านบาท

ปัญหาสำคัญของฐานทัพเรือพังงาคือไม่มีสนามบิน  และไม่มีเนื้อที่เหลือพอที่จะสร้างเป็นสนามบินใหม่ อีกทั้งเรือขนาดใหญ่ ยังไม่สามารถเข้ามาเทียบท่าได้เนื่องจากมีความตื้นเขิน จึงต้องมีการใช้งบประมาณในการขุดลอกดินทรายในทะเลใหม่

ดังนั้นคาดว่า  สหรัฐอเมริการู้ข้อมูลตรงนี้  จึงได้เสนอสนับสนุนงบประมาณ  ให้กับทางกองทัพเรือ แต่ไม่เคยขอถึงขั้นที่ว่าจะตั้งฐานทัพในประเทศไทย ที่ฐานทัพเรือพังงา  เพราะสหรัฐรู้ดีว่าประเทศไทยไม่ว่ารัฐบาล ใดก็ไม่เคยยอม

เพราะก่อนหน้านี้ สหรัฐฯเคยพยายามที่จะขอตั้งฐานทัพอากาศที่กองบิน 56 หาดใหญ่สงขลา  เพราะกำลังให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวของจีนและรัสเซีย ในพื้นที่อินโดแปซิฟิกและโดยเฉพาะปัญหาในทะเลจีนใต้ เพราะพบว่าจีนมาสร้างฐานทัพเรืออันดามัน ที่ประเทศเมียนมา และพบความเคลื่อนไหวของรัสเซียในการที่จะมาขอตั้งฐานทัพในเมียนมาด้วย ขณะที่จีนเองก็ได้มีฐานทัพเรือเรียม ในกัมพูชาแล้ว

ดังนั้นสหรัฐอเมริกา จึงต้องการมีฐานทัพอากาศและฐานทัพเรือในภาคใต้ของประเทศไทย แต่กองทัพอากาศได้ปฏิเสธไปแล้วเพราะไม่ต้องการให้เกิดความอ่อนไหวและจะเกิดปัญหากับทางจีน

อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ได้ เคยสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนา สนามบินอู่ตะเภา  และท่าเรือสัตหีบ และท่าเทียบเรือทุ่งโปรง ที่สัตหีบ มาแล้ว เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและเป็นประโยชน์ เมื่อสหรัฐมาขอใช้สถานที่ด้วย

เนื่องจากไทยและสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาสนับสนุนการส่งกำลังบำรุง จึงทำให้สหรัฐฯสามารถนำเครื่องบินมาลงจอดในทุกสนามบินของกองทัพไทย ไม่ว่าเหล่าทัพใด รวมถึงการนำเรือรบมาจอดเทียบท่าเพื่อรับการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงเติมน้ำมันหรือ แม้แต่มานำกำลังพลมาพักผ่อนเช่นที่ เคยมีมาตลอดหลายทศวรรษ โดยเฉพาะสนามบินอู่ตะเภาก็เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นเสมือนฐานทัพของสหรัฐฯ เพราะเป็นสนามบินที่สหรัฐ เคยสร้างไว้ตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม และสนับสนุนงบในการพัฒนาสร้างสิ่งปลูกสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกมาตลอดโดยเฉพาะอาคารม้าแดง  ที่มีการปรับปรุงใหม่

อีกทั้งไทยและสหรัฐฯ มีการฝึกอบรมร่วมกัน ตลอดทั้งปีกว่า 400 การฝึกที่ทำให้สหรัฐฯ มักมีเครื่องบินมาจอด และพักที่สนามบินอู่ตะเภา ของกองทัพเรือตลอดทั้งปี กล่าวได้ว่าประเทศไทยไม่เคยขาดทหารสหรัฐฯเลยทีเดียว

ดังนั้น  สนธิสัญญาด้านการส่งกำลังบำรุง ที่ทำขึ้นในฐานะที่ไทยเป็นพันธมิตรนอกนาโต  Non NATO Ally ของสหรัฐอเมริกา  นี้จึงทำให้สหรัฐไม่จำเป็นต้องตั้งฐานทัพในประเทศไทย  แต่ประเทศไทยเป็น เสมือนฐานทัพกลายๆ ของสหรัฐอยู่แล้ว 

อีกทั้งจุดยืนของประเทศไทยที่แม้บอกว่าจะเป็นกลางก็ตาม แต่ก็เอนเอียงมาทางสหรัฐโดยเฉพาะกองทัพที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางการทหาร กับสหรัฐฯ และการฝึกต่างๆรวมถึงรูปแบบการจัดกองทัพ ก็ยึดรูปแบบสหรัฐเช่นกัน

นอกจากนี้ไม่ใช่ แค่สหรัฐอเมริกาที่จะมาจอดเครื่องบินหรือนำเรือรบมาเทียบท่า ของกองทัพได้แต่มีประเทศทุกประเทศก็สามารถมารับการส่งกำลังบำรุงได้เช่นกัน ออสเตรเลีย  ยุโรป  อาเซี่ยน แม้แต่จีน

จะเห็นได้ว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ผสมโรงกับความเคลื่อนไหวในการโจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทย  แต่กองทัพเรือนิ่งเฉยไม่ได้มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการ ปล่อยให้นายภูมิธรรม และ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล  นาคพาณิชย์  รมช.กลาโหม รักษาราชการแทน รมว.กลาโหม  ต้องออกมาชี้แจงตอบโต้ด้วยตนเองว่า  ไม่เป็นความจริงที่ว่า สหรัฐจะมาขอตั้งฐานทัพในประเทศไทย

สิ่งนี้อาจเป็นการสะท้อนจุดยืนของกองทัพเรือในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไร้เสถียรภาพทางการเมือง  ขณะที่ นางสาวแพทองธาร  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรีก็เสี่ยงที่จะพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจากคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน แห่งกัมพูชา จนถูกศาลรัฐธรรมนูญ  สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรีมาแล้วและรอวินิจฉัยอีกไม่นานนี้

กองทัพเรือจึงไม่จำเป็นต้องออกมาปกป้องรัฐบาลนี้แต่อย่างใด

ขณะที่ท่าทีของกองทัพเหล่าทัพอื่นก็ดูจะนิ่งทำหน้าที่เฉพาะหน้าที่ของกองทัพในการรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติเท่านั้น  ไม่มีการออกมาชี้แจงเพื่อช่วยรัฐบาล

แม้แต่เรื่องรั้วที่ปราสาทตาเมืองธมจังหวัดสุรินทร์ แม้จะมีการปลุกกระแสข่าวว่ารั้วไม้ที่เคยมีอยู่กั้นเป็น สัญลักษณ์เขตแดนประเทศไทย ตั้งแต่ก่อนปี 2554 แต่มีการโหมข่าวลือว่า ได้ถูกสั่งรื้อ โดยนางสาว ยิ่ง ลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น

จนถูกโจมตีอย่างหนัก  แต่กองกำลังสุรนารี หรือกองทัพบกก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงแม้จะมีข้อมูลว่ารั้วไม้ดังกล่าวเสียหายในระหว่างการสู้รบของทหารไทยและกัมพูชาในปี 2554

และจากการเจรจาหยุดยิง มีข้อตกลงที่จะให้ชาวกัมพูชาสามารถมาท่องเที่ยวปราสาทตามเมืองธมได้และมีทหารชุดประสานงานฝ่ายกัมพูชาจำนวน7 คนจึงมีการต่อรองกันในระดับพื้นที่ว่าไม่ต้องมีการสร้างรั้วไม้ขึ้นมาทดแทน

ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดในการตัดสินใจในการเจรจาต่อรองครั้งนั้นที่หวังสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์  หลังการสู้รบจึงยอมเปิดให้ทหารกัมพูชาเข้ามาเป็นชุดประสานงานอยู่บนปราสาทตามเมืองธมได้และไม่สร้างรั้วขึ้นมาทดแทนของเก่าที่พังไป

หลายอย่างที่เกิดขึ้นในห้วงนี้เป็นการสะท้อนจุดยืนของกองทัพที่แม้จะประกาศว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและไม่รัฐประหาร

แต่ก็ไม่ได้พบข้อมูลว่ามีการช่วยเหลือหรือสนับสนุนรัฐบาลนี้แต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่จะชี้แจงแก้ข่าวกันไปเท่านั้น

เสมือนเป็นการโดดเดี่ยวรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ในเรื่องข้อมูลข่าวสารก็ว่าได้