"อมรเทพ" ชี้ไทยลดภาษีทรัมป์ 0% ส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าคาด-ลดความเสี่ยสวมสิทธิส่งออก

วันที่ 18 ก.ค.68 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย โพสต์เฟซบุ๊ค อมรเทพ จาวะลา ระบุว่า

ลองจินตนาการว่า หากไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยไทยลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐลงเหลือ 0% ในสินค้าส่วนใหญ่ แม้ไม่ใช่ทุกรายการเหมือนที่เวียดนามและอินโดนีเซียให้สหรัฐ และไทยน่าเจรจานำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น และวางแผนระยะยาวในการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ พร้อมเปิดตลาดภาคบริการและการลงทุนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันมากขึ้น จนภาษีนำเข้าที่สหรัฐจัดเก็บกับไทยเหลือเพียง 25% ลดลงจาก 36% แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

โอกาสของไทยภายใต้ภาษีสหรัฐที่ต่ำลงเทียบเคียงเพื่อนบ้าน

1. ส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าคาด

ไทยน่าได้เปรียบจากอัตราภาษีที่ต่ำลงจนใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน → ทำให้สินค้าไทย "พอจะแข่งขันได้มากขึ้น"

สินค้าที่พอจะแข่งขันได้:

อิเล็กทรอนิกส์

ชิ้นส่วนยานยนต์

ยางรถยนต์

อาหารแปรรูป

ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ

แต่ถึงอย่างไร การเติบโตด้านส่งออกของไทยน่าจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะสหรัฐจะลดการนำเข้าโดยรวม (จากการเร่งสต๊อกล่วงหน้า + เศรษฐกิจชะลอจากเงินเฟ้อที่จะขยับขึ้น) ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตของไทยชะลอ การจ้างงาน ชั่วโมงการทำงานและการบริโภคเสี่ยงขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ข่าวดีคือ ยังน่าพอประคองตัวได้ ไม่หดตัวเช่นกรณีถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง

2. ลดความเสี่ยงจากการ “สวมสิทธิ” ส่งออก

ภาษีสหรัฐที่เข้มงวดทำให้ transshipment (การลักลอบใช้สิทธิไทย) ลดลง

แต่ไทยต้องระวัง: สินค้าที่มี import content สูง อาจถูกมองว่าไม่ได้ผลิตจริงในไทย

ทางแก้:

เร่งสร้างฐานการผลิตในสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เน้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พวกเซมิคอนดักเตอร์

3. การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อาจเพิ่ม

นักลงทุนย้ายฐานจากจีน มาสู่ไทย ไม่ต้องแย่งเวียดนาม อินโดนีเซียมากนัก

สินค้าเป้าหมาย: กลุ่มที่ถูกเก็บภาษีพอๆกันและเน้นตลาดส่งออกไปสหรัฐ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ

อย่าลืมว่าผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงจากอัตราภาษีที่ไทยเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ลดลง เช่น ยาและเวชภัณท์ ผลิตภัณท์อาหาร และอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มนี้

ข้อควรระวัง:

ไทยยังเสียเปรียบด้านโครงสร้างต้นทุน เช่น ค่าแรงสูง ค่าไฟแพง กฎระเบียบซ้ำซ้อน พยายามสร้างจุดขายพวก ESG พลังงานทดแทน

4. นโยบายการคลังควรเน้นประคองเศรษฐกิจ

ช่วยภาคที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนนำเข้าสูง เช่น ภาคเกษตรบางกลุ่ม อุตสาหกรรมที่ไทยลดภาษีนำเข้า อาจต้องมี มาตรการเยียวยาแรงงาน​ หรือ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

5. นโยบายการเงินยังผ่อนคลายได้

เงินเฟ้อต่ำ → เปิดทางให้ดอกเบี้ยลดต่ำต่อไปได้

เศรษฐกิจโตช้า → เพิ่มสภาพคล่อง เร่งการปล่อยสินเชื่อ

ภาคท่องเที่ยวยังอ่อนแรง → เสริมความจำเป็นต้องกระตุ้นต่อ

6. บาทอาจแข็งค่าจากความเชื่อมั่น

นักลงทุนมองว่าไทย "เสี่ยงต่ำ" กว่าเวียดนาม อินโดฯ

ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดทุนไทยมากขึ้น

แต่ต้องคุมไม่ให้บาทแข็งเกินไป → กระทบผู้ส่งออก

7. GDP ไทยรอดภาวะถดถอยทางเทคนิค

แม้เศรษฐกิจไม่หดตัวแรง แต่การเติบโตยังต่ำในมุมไตรมาสต่อไตรมาสความหวังอยู่ที่: ครึ่งหลังของปีหน้า (H2/2026) หากส่งออก-ลงทุนฟื้น และการบริโภคภายในประเทศกลับมาแข็งแรง

บทสรุป

แม้จะไม่ได้บูมเต็มตัว แต่ "ภาษีต่ำลง" เปิดโอกาสให้ไทย รอดได้พร้อมๆ เพื่อนบ้าน ในสภาวะที่สหรัฐกีดกันการค้าเข้มขึ้น แต่ให้จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจยังไม่จบ จนไทยโดนผลกระทบทางอ้อมได้ เช่นนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวต่ำ หรือลดลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่เปราะบางมากขึ้น

จุดแข็งที่ต้องเร่งต่อยอด:

พัฒนาห่วงโซ่การผลิตในประเทศ

ปรับต้นทุนธุรกิจให้แข่งขันได้

ใช้นโยบายการคลัง-การเงินอย่างแม่นยำ

#เศรษฐกิจไทย #ภาษีสหรัฐ #การส่งออกไทย #การลงทุนจากต่างชาติ #ภาษีต่ำ #นโยบายการคลัง #เงินบาทแข็งค่า #การคลังและการเงิน #เศรษฐกิจโลก #การค้าระหว่างประเทศ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้