วันที่ 11 ก.ค. 2568 น.ต.สุธรรม  ระหงษ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีข้อร้องเรียนที่มีผู้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเสนอชื่อ สส.ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดยไม่ผ่านกระบวนการตามข้อบังคับพรรค ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องภายในพรรค ไม่ถึงขั้นต้องนำไปสู่การยุบพรรคตามที่มีการร้องเรียน แต่ยอมรับว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้ดำเนินการตามข้อบังคับพรรคอย่างถูกต้อง ทั้งในส่วนของมติกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค และการรับรองจาก สส.พรรค ก่อนการเสนอชื่อไปยังนายกฯเพื่อทูลเกล้าฯ

“ไม่มีมติ ไม่มีบันทึกประชุม ไม่มีการหารืออย่างเป็นทางการ แต่กลับมีชื่อปรากฏในโผรัฐมนตรีหลังโปรดเกล้าฯ ไปแล้ว ซึ่งสะท้อนว่า กระบวนการของพรรคไม่ชอบด้วยข้อบังคับ” น.ต.สุธรรม กล่าว

น.ต.สุธรรมกล่าวต่อว่า ตนได้ทำหนังสือแสดงความเห็นแย้งต่อหัวหน้าพรรคแล้ว แม้ไม่มีความขัดแย้งส่วนตัวกับใครในพรรค แต่ต้องยืนยันหลักการตามกฎหมายและข้อบังคับโดยเฉพาะ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่กำหนดให้พรรคต้องดำเนินกิจการด้วยความโปร่งใสและชอบด้วยข้อบังคับ ซึ่งกรณีที่ กก.บห.พรรคและ สส. ได้จัดประชุมร่วมหลังการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี เพื่อให้สัตยาบันย้อนหลัง ต่อมติที่ไม่เคยเกิดขึ้นว่าอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีบัญญัติไว้ในข้อบังคับพรรค และตนเป็นเพียงคนเดียวในที่ประชุมที่ไม่เห็นชอบกับการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว

น.ต.สุธรรมกล่าวว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และข้อบังคับของพรรค เป็นกฎหมายในลักษณะของกฎหมายปกครอง ซึ่งควบคุมการใช้อำนาจของหน่วยงานรัฐและพรรคการเมือง อันอาจกระทบสิทธิของบุคคลจำนวนมากและความสงบเรียบร้อยของสังคม ดังนั้น การดำเนินกิจการของพรรคและการใช้อำนาจของ กกต. ต้องเป็นไปโดยเคร่งครัดตามกฎหมายและข้อบังคับ มิฉะนั้นการกระทำนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจให้สัตยาบันย้อนหลังได้ เพราะไม่ใช่นิติกรรมระหว่างเอกชนที่จะสละสิทธิหรือให้ความยินยอมภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ กรณีนี้ หากเปรียบเทียบกับกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งจากการเสนอชื่อ นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ก็ถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจกระทบถึงตัวนายกฯเนื่องจากการเสนอชื่อรัฐมนตรีที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายภายในพรรค อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง

“กรณีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานที่คลาดเคลื่อน หาก กกต. พิจารณาแล้วไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งที่มีข้อบ่งชี้ถึงการละเมิดข้อบังคับ ซึ่งอาจขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อย่างไรก็ตามขณะนี้ กกต.จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง พร้อมตรวจสอบเอกสารและบันทึกการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าพรรคได้ดำเนินการตามข้อบังคับจริงหรือไม่"  น.ต.สุธรรม กล่าว