กรณี “สีกากอล์ฟ” ที่พัวพันกับพระชั้นผู้ใหญ่ถึง 12 รูป ไม่เพียงเขย่าวงการสงฆ์ธรรมยุตเท่านั้น แต่ยังเป็นปรากฏการณ์สะท้อนความเปราะบางของศีลธรรมในสังคมไทย ที่ยึดถือพระภิกษุสงฆ์เป็นเสาหลักด้านจริยธรรมและจิตวิญญาณ
ศาสนาพุทธในไทยมีรากฐานแน่นแฟ้นกับสังคมมายาวนาน โดยพระสงฆ์ถือเป็น "เนื้อนาบุญ" ที่ควรได้รับความเคารพบูชา แต่เมื่อมีข่าวความสัมพันธ์เชิงชู้สาว การรับเงินเปย์ หรือแม้แต่การพนันเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ ความศรัทธาที่สั่งสมมายาวนานก็กำลังถูกสั่นคลอน
ความเปราะบางครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่ในระบบการปกครองสงฆ์ การขาดระบบตรวจสอบที่เข้มงวด รวมถึงจริยธรรมส่วนบุคคลของพระบางรูปที่อาจมีชื่อเสียง มีตำแหน่ง แต่กลับขาด “วินัยภายใน” ซึ่งควบคุมจิตใจให้มั่นคงในพระธรรมวินัย
ขณะเดียวกัน ยังเกิดคำถามในวงกว้างถึง “บทบาทของคณะสงฆ์” ในการดูแลปกครองกันเอง และความล่าช้าในการจัดการกรณีลักษณะนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาในระดับชาติและสากล
* ผลกระทบต่อโครงสร้างคณะสงฆ์ : ความจำเป็นเร่งด่วนของ “ธรรมาภิบาลในผ้าเหลือง”
การพัวพันของพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปในกรณี “สีกากอล์ฟ” เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่สะท้อนถึง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภายในคณะสงฆ์ไทย โดยเฉพาะในประเด็น “ธรรมาภิบาล” หรือการบริหารกิจการสงฆ์อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และรับผิดชอบต่อสาธารณะ
ปัจจุบัน ระบบการแต่งตั้งพระสังฆาธิการในหลายระดับยังคงพึ่งพา “อาวุโสภาพ” และความไว้วางใจเป็นหลัก มากกว่าระบบคุณธรรมและการประเมินผลที่โปร่งใส ส่งผลให้พระบางรูปที่มีอำนาจกลับใช้ตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ยิ่งไปกว่านั้น การขาดกลไกตรวจสอบภายในของมหาเถรสมาคม และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ยิ่งเปิดช่องให้เกิดการแทรกแซง หรือ “ธุรกิจศาสนา” โดยที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล และไม่มีสิทธิร้องเรียนอย่างเป็นระบบ
กรณีนี้จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สังคมไทยอาจต้อง “ทบทวนบทบาทของคณะสงฆ์” และ ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อให้สอดรับกับโลกยุคใหม่ที่ความโปร่งใสและจริยธรรมต้องมาก่อนลำดับศักดิ์
* ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ควรจัดตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบคุณธรรมพระสังฆาธิการ” อิสระจากมหาเถรสมาคม
พัฒนาระบบร้องเรียน-แจ้งเบาะแสทางออนไลน์เกี่ยวกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระ
บรรจุหลักสูตรฝึกอบรมธรรมาภิบาลแก่พระในระดับเจ้าอาวาสขึ้นไป
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพุทธศาสนิกชนในการตรวจสอบการใช้ทรัพยากรของวัด