แม้ในสายตาของหลายคน การเคลื่อนไหวระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนอาจดูเหมือนเส้นขนานที่ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้

แต่ในความจริงแล้ว ภาพการพูดคุยระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อพิจารณาข้อเสนอที่มีเงื่อนไขยอมรับ “นายกรัฐมนตรีชั่วคราว” แลกกับการยุบสภาภายในสิ้นปียิ่งทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนระอุขึ้น

โดยเฉพาะเมื่อตัวละครหลักอย่าง ไอซ์ รักชนก ศรีนอก และ รังสิมันต์ โรม แกนนำพรรคประชาชนได้หารือกับอนุทิน ชาญวีรกูล

ภาพเหล่านี้ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเผยการเจรจาหลังฉากที่ทำให้ฐานอำนาจของรัฐบาลสั่นคลอน ผู้คนภายนอกอาจไม่เห็นภาพทั้งหมด แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยกลยุทธ์ทางการเมือง การเจรจา และการต่อรองอย่างซับซ้อน

แม้การเจรจาระหว่างพรรคการเมืองทั้งสองอาจดูเหมือนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั่วไป แต่ในความเป็นจริง กลยุทธ์ของแต่ละฝ่ายนั้นมีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมากมาย การยอมรับข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการจัดตั้งรัฐบาลร่วมในรูปแบบต่าง ๆ ล้วนเป็นกระบวนการที่ต้องแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน

ทว่าในช่วงเวลาที่พรรคทั้งสองกำลังพิจารณา “ดีลลับ” ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นข้อตกลงสำคัญนี้ ก็ยังคงเต็มไปด้วยข้อสงสัยและความไม่เชื่อมั่นที่ยังไม่หายไป

พรรคประชาชนได้ประกาศแผน 7 ข้อ ซึ่งเน้นย้ำถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และการจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะไม่ได้พูดถึงประเด็นของ “หมวด 1 และหมวด 2” ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของพระมหากษัตริย์ที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงมาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครรับประกันว่าจะแทรกตัวในระหว่างบรรทัดในการแก้ไข การที่พรรคภูมิใจไทยจะยอมรับการแก้ไขในประเด็นนี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด

และในขณะเดียวกัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ต้องผ่านการพิจารณาจากสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่พรรคประชาชนต้องข้ามผ่านไปให้ได้ แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่า พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางหมวด แต่ก็มีแนวโน้มว่า พรรคภูมิใจไทยอาจยอม “เล่นตามเกม” ของพรรคประชาชน เพื่อรักษาฐานอำนาจและขุมกำลังทางการเมือง

ยิ่งการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการโยกย้ายอธิบดีกรมการปกครองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก็เป็นการกดดันพรรคภูมิใจไทยอย่างหนัก

มองไปข้างหน้า การจัดทำประชามติและการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญอาจกลายเป็นเกมที่พรรคภูมิใจไทยสามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจสะท้อนบทเรียนจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม การที่พรรคประชาชนเสนอเงื่อนไขเหล่านี้ ก็ถือเป็นการปิดช่องทางอำนาจนอกระบบให้กับพรรคเพื่อไทย และเป็นการทดสอบพรรคเพื่อไทยในเวลาเดียวกัน

หากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นลบ ผลที่ตามมาอาจทำให้แพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายน ซึ่งในขณะนั้น พรรคเพื่อไทยต้องมั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ สำหรับการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

หากพรรคเพื่อไทยได้เสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชนเพียงพอ พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ซึ่งอาจต่อต้านการเลือก “ชัยเกษม นิติสิริ” จากปมมาตรา 112 โดยเหตุการณ์นี้อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยตัดสินใจจับมือกับพรรคประชาชน

การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง ไม่เพียงแค่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ยังมีเป้าหมายร่วมกันในการต่อสู้กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือเป็นศัตรูร่วม

หากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ก็อาจเป็นการเปิดทางให้การเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นจริงในช่วงปลายปี ตามทฤษฎีสมคบคิดหรือการ “ผลัดกันเกาหลัง”

ทั้งนี้ แม้จะมีการวิวาทะระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน แต่สถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและไม่แน่นอน ก็ยิ่งทำให้การจับมือกันของทั้งสองพรรค เป็นเรื่องที่อาจเป็นไปได้ ในเมื่อผู้นำจิตวิญญาณของทั้งสองพรรคต่างก็เคยพบปะกันในต่างแดนมาก่อน