แม้จะเป็นที่รับรู้กันผ่านทางสื่อว่า เก้าอี้ รมว.กลาโหม ที่เว้นว่างไว้ ใน “ครม.แพทองธาร1/2” เพื่อรอ “บิ๊กแก้ว” พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่จะพ้นจากการเว้นวรรคทางการเมือง หลังพ้นสถานภาพสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ครบ2 ปีหลัง 30 กันยายน 2568 นี้ ก็ตาม
แต่ไม่มีใครออกมายืนยันอย่างเป็นทางการ ว่าเก้าอี้นี้เว้นวรรคไว้สำหรับ พล.อ.เฉลิมพล ก่อนหน้านี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ กระแสข่าว เว้นว่างไว้รอ พล.อ.เฉลิมพล โดยระบุเพียงว่า ยังไม่ทราบ เดี๋ยวให้รอดู
ขณะที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ตอนเป็น รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่า ไม่ทราบว่านายกฯ คิดยังไง จึงเว้นว่างเก้าอี้ รมว.กลาโหม ไว้
ขณะที่ นางสาวแพทองธาร เองระบุด้วยว่า มี พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น รมช.กลาโหม อยู่ และถืองานไว้เยอะ พร้อมเชื่อมั่นว่าในระหว่างที่ยังไม่มี รมว.กลาโหม พล.อ.ณัฐพล จะสามารถดูแลสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาได้โดยไม่สะดุด เพราะถือว่าที่ผ่านมา พล.อ.ณัฐพล ก็ทำงานได้ดีมาก
จนทำให้เกิดคำถามว่าเพราะเหตุใดพรรคเพื่อไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญเบื้องหลัง จึงไม่ยอมให้แต่งตั้ง พล.อ.ณัฐพล เป็น รมว. กลาโหม ไปเลย
แต่ให้เป็น รมช. กลาโหม มาถึง 3 สมัยตั้งแต่ยุค นายสุทิน คลังแสง เป็น รมว.กลาโหมพลเรือน จนมาถึง นายภูมิธรรม และก็มาเว้นว่าง ในครม.แพทองธาร 1/2 นี้
ประการหนึ่งอาจเป็นเพราะพล.อ.ณัฐพล มาในโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ
ที่จัดตั้งรัฐบาลแบบ ดีลผสม ข้ามขั้วระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคขั้วอนุรักษ์นิยม นั้น บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ สนับสนุนให้ทพล.อ.ณัฐพลเป็น รมว.กลาโหม แต่ที่สุดได้เป็นแค่ รมช. กลาโหมเท่านั้น
ในครั้งนั้น เป็นที่รู้กันว่า นายทักษิณ เองก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเก้าอี้ รมว.กลาโหม ให้ฝ่ายทหารดูแลกันเอง ที่อาจเป็นเพราะยังไม่ไว้วางใจ ในขั้วอนุรักษ์นิยม เพราะจากประสบการณ์ ที่เคยถูกรัฐประหารมา ถึง 2 ครั้งในยุคของตนเอง เป็นนายกฯ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว เป็นนายก ฯ จึงยังคงให้โควตาเก้าอี้นี้กับพรรคเพื่อไทย คุมเชิงกองทัพในฐานะ รมว.กลาโหม อีกทีหนึ่ง
แต่มาครั้งนี้การที่มีชื่อของพล.อ.เฉลิมพล ชิงเก้าอี้กลาโหม เป็นเพราะมี “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผบ. ทบ.และอดีตรองเลขาธิการ สนว. เป็นผู้สนับสนุนหลัก ในฐานะที่ พล.อ.เฉลิมพล เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกันมายาวนาน แม้จะอยู่กันคนละรุ่น โดยพล.อ.อภิรัชต์ เป็นเตรียมทหารรุ่น 20 ส่วนพล.อ.เฉลิมพล เป็นเตรียมทหารรุ่น 21 แต่พล.อ.อภิรัชต์ ได้เรียนพร้อมกับ ตท.21 เมื่อต้องรีพีท เรียนซ้ำ จึงสนิทสนมกับ ตท.21 เป็นจำนวนมากรวมถึงพล.อ.เฉลิมพลด้วย
โดยจะเห็นได้ว่าในห้วงของการรัฐประหาร ปี 2557 นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ พี่เลิฟ ของพล.อ.อภิรัชต์ ที่ครองอำนาจยาวเกือบ 10 ปี ทำให้พล.อ.อภิรัชต์ ได้ขยับขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญ จาก ผบ.พล.1 รอ. เป็น รองแม่ทัพภาค 1 และแม่ทัพภาค1 จนขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
โดยมี พล.อ.เฉลิมพล เป็นเพื่อนรุ่นน้องคู่ใจในการทำภารกิจต่างๆ และช่วยสนับสนุน พล.อ.เฉลิมพลให้เติบโต และส่งข้ามไปเป็นเสนาธิการทหารและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงนั่งยาวถึง 3 ปี
ความสนิทสนมไว้วางใจเป็นที่สุดนี้สะท้อนให้เห็นจากภาพการเดินทางไปลังกาวี มาเลเซีย ที่ พล.อ.อภิรัชต์ พาพล.อ.เฉลิมพล ไปด้วย ก่อนที่ต่อมาจะมีภาพหลุดและทำให้กระแสข่าวเรื่อง ดีลลังกาวี แพร่สะพัด และเข้าใจกันว่าเป็นที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่นำโดยพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
ดังนั้นจึงกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ สนับสนุนพล.อ.เฉลิมพล ซึ่งเป็นนายทหารที่มีความสามารถและมีความเด็ดขาด ให้มาเป็น รมว.กลาโหม ที่เสมือนให้มาทำหน้าที่แทนตัวพล.อ.อภิรัชต์ เอง เพราะหากพล.อ.เฉลิมพล เป็น รมว.กลาโหม ก็เสมือนมีพล.อ.อภิรัชต์ มาช่วยงานแบบเต็มตัว อยู่เบื้องหลัง เป็นเสมือน รมว.กลาโหมเงา ก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวในกระทรวงกลาโหม กลับระบุว่าพล.อ.เฉลิมพล เป็นแค่ดีลเก่า ซึ่งถือว่าเป็นข้อเสนอแรกตอนพิจารณาตัว รมว. กลาโหม เท่านั้น แต่ดีลนี้ ได้เปลี่ยนไปแล้ว จึงยังไม่มีใครมาจับจองเก้าอี้สนามไชย1 ตัวนี้
ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเริ่มมีสัญญาณบวกที่จะให้ พล.อ.ณัฐพล ซึ่งทำหน้าที่รักษาการ รมว. กลาโหมอยู่ในช่วงสุญญากาศกลาโหมนี้ นั่งรักษาการยาวต่อไป ก่อน หรือในที่สุดอาจจะได้เป็น รมว. กลาโหม ตัวจริง
โดยอาจต้องมีการแลกเปลี่ยนโควตา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ. ณัฐพล นั่งเก้าอี้ รมว. กลาโหมแบบเต็มตัว
ประการสำคัญต้องไม่ลืมว่าพล.อ.ณัฐพล คือพยานปากสำคัญในคดีความผิดมาตรา 112 ของนายทักษิณ ในฐานะที่พล.อ.ณัฐพลเคยเป็นคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ในการปฏิวัติรัฐประหารปี 2557 ในตำแหน่งรองเลขาธิการ คสช. ซึ่งคสช. เป็นผู้ยื่นฟ้องนายทักษิณ ในคดีนี้
อีกทั้งสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และอนาคตของนางสาวแพทองธาร ที่อาจจะถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน จากกัมพูชา ในช่วง1-2เดือนนี้ และอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือการเปลี่ยนพรรคร่วมรัฐบาลจับขั้ว กันใหม่ ดังนั้นโอกาสที่พล.อ.เฉลิมพล จะได้เป็น รมว. กลาโหมจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ดังนั้นในเวลานี้กระทรวงกลาโหมจึงอยู่ในอำนาจการดูแลและบังคับบัญชาของพล.อ.ณัฐพลในฐานะรักษาการ รมว.กลาโหม แม้จะมี นายภูมิธรรม เป็นรองรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและคุมกระทรวงกลาโหมด้วยก็ตาม แต่ ในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ได้มอบหมายอำนาจหน้าที่ให้กับ พล.อ.ณัฐพล ในการบริหารจัดการ กระทรวงกลาโหมอย่างเต็มอำนาจ ยกเว้นการตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่างๆด้านความมั่นคงต้องนำเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก่อน
เหล่านี้จึงเป็นเสมือนสัญญาณบวกของ พล.อ.ณัฐพล สายตรงพล.อ.ประยุทธ์ และเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 20 ของพล.อ.อภิรัชต์ แม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะมีน้อยใจ อยู่บ้างที่ไม่ได้รับการสนับสนุน และเจรจาต่อรองให้เป็น รมว. กลาโหม แบบเต็มภาคภูมิ
ที่สำคัญ พล.อ.ณัฐพล จะทำหน้าที่ในการจัดบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลที่กำลังจะเริ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป และจะเสร็จสิ้นในห้วงต้นเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่มีความสำคัญเพราะ ต้องเปลี่ยนผู้บัญชาการเหล่าทัพถึง4 คน ทั้ง ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้บัญชาการทหารอากาศ แทนคนที่เกษียณราชการ แม้ว่าตาม พรบ. กระทรวงกลาโหมปี 2551 ซึ่งมีบอร์ด 7 เสือกลาโหม ที่มีผู้บัญชาการเหล่าทัพ เป็นเสียงส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นอำนาจและบารมีครั้งแรกของพล.อ.ณัฐพลที่จะได้จัดโผโยกย้ายทหาร ใน ฐานะรมว. กลาโหม
แม้ว่าพล.อ.เฉลิมพลจะมาเป็น รมว. กลาโหมจริงๆ แต่ก็ต้องเป็นหลังเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งในเวลานั้นพล.อ.ณัฐพลได้จัดโผโยกย้ายทหารชั้นนายพลเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม บางกระแสในกองทัพก็ยังคงยืนยันว่า ว่าที่ รมว. กลาโหม ยังคงเป็นชื่อของพล.อ.เฉลิมพลอยู่ แต่จะได้มาปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองว่า นางสาวแพทองธาร จะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่
ท่ามกลางการจับตามองว่านี่อาจจะเป็นอีกดีลหนึ่งที่ซ้อน อยู่ เพราะหาก ฝ่ายทหารฝ่ายอนุรักษ์นิยมต้องการที่จะคุมกระทรวงกลาโหม ด้วยตนเอง ก็ต้องพยายามช่วยให้ นางสาวแพทองธาร ได้กลับมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศไปจนครบเทอมในอีกสองปีข้างหน้า
เพราะหากเป็นสายตรง ของพล.อ.อภิรัชต์ แล้ว เท่านั้นนายทักษิณ จะไว้วางใจและยอมปล่อยมือให้ฝ่ายทหารมาเป็น รมว. กลาโหมเป็นคนแรก
ดังนั้นระยะทางเดินของพล.อ.เฉลิมพล สู่กระทรวงปืนใหญ่เก้าอี้สนามไชย1 จึงไม่ราบรื่น ทั้งปัญหาภายในกระทรวงกลาโหมและกองทัพเอง และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ทำให้ต้องลุ้นกันแบบรายวัน