วันที่ 9 ก.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่ บช.ภ.3 พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ออกคำสั่งด่วนให้ทุกหน่วยในสังกัด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ ที่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวและโยกย้ายฐานปฏิบัติการมายังบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
ทั้งนี้คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังมีรายงานข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ระบุว่า บริเวณฝั่งตรงข้ามด่านช่องจอม ในพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่จำนวนมาก คาดว่าเป็นที่พักและสำนักงานใหม่ของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเคยมีฐานปฏิบัติการในเมืองปอยเปตและชเวโก๊กโก่ โดยมีนายทุนชาวจีนอยู่เบื้องหลัง
พล.ต.ท.วัฒนา เปิดเผยว่า จุดผ่านแดนช่องจอมเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการค้าและการเดินทางระหว่างประเทศ จึงต้องมีการควบคุมที่เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มอาชญากรข้ามชาติเข้ามาใช้พื้นที่ในประเทศไทยเป็นแหล่งกบดานหรือทางผ่านในการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การค้ามนุษย์ หลอกลวงทางออนไลน์ และฟอกเงินผ่านบัญชีม้า
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้สั่งการให้ ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยข่าวความมั่นคงในพื้นที่ บูรณาการกำลังร่วมกันเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะเส้นทางธรรมชาติที่อาจถูกใช้เป็นช่องทางลักลอบเข้า-ออกของกลุ่มมิจฉาชีพ รวมถึงแรงงานผิดกฎหมายที่อาจแฝงมากับขบวนการ
นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้หน่วยสืบสวนเร่งตรวจสอบขยายผลในเชิงลึกเกี่ยวกับบัญชีม้า ซิมการ์ด และอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โดยประสานงานกับกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ (บช.ศอท.) และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อปิดเส้นทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ดังกล่าว
โดยรายงานยังระบุว่า ขณะนี้บริเวณฝั่งตรงข้ามช่องจอม มีการเคลื่อนไหวด้านกายภาพ เช่น การสร้างอาคารขนาดใหญ่ รั้วเหล็ก และระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา รวมถึงการวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าและสถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ คาดว่าเป็นการรองรับการย้ายฐานของขบวนการผิดกฎหมายที่ถูกกวาดล้างจากพื้นที่อื่น
ด้าน พล.ต.ท.วัฒนา ยืนยันว่า จะไม่ปล่อยให้ประเทศไทยตกเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ และจะใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายในการสกัดกั้นขบวนการสแกมเมอร์ไม่ให้ฝังรากในแผ่นดินไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหว
สำหรับการดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นมาตรการเชิงรุกของตำรวจภูธรภาค 3 ในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ ทั้งในมิติความมั่นคงภายในและในเวทีระหว่างประเทศ ท่ามกลางการจับตามองของนานาชาติ ต่อบทบาทของไทยในการควบคุมอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติอย่างจริงจัง