วันที่ 9 ก.ค.2568 เมื่อเวลา 12.20 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมในขณะนั้น ได้แจ้งที่ประชุมถึงรายชื่อผู้อภิปรายที่เหลือ 

นายวัชระพล ขาวขำ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นเสนอให้ประธานวินิจฉัยข้อที่ 74 อีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า ไม่ได้มีปัญหาว่าเพื่อนสมาชิกมีความเห็นอย่างไร แต่ส่วนตัวเห็นว่าใช้เวลาพอสมควรแล้ว จึงขอให้วินิจฉัย เพื่อปิดการอภิปราย ตามข้อ 73(2) ให้ที่ประชุมลงมติ 

ขณะที่นายวรศิษฎ์ เสียงประสิทธิ์ สส.สตูล พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การที่เพื่อนสมาชิกเสนอให้มีการปิดอภิปราย ตนจึงอยากขอเหตุผล เพราะเพิ่งมีการอภิปรายไปเพียงแค่ 5-6 คนเท่านั้น ไม่ได้รบกวนเวลาขนาดนั้น เข้าใจว่าท่านคือเสียงข้างมาก ถึงจะโหวตท่านก็ชนะอยู่แล้ว ตนเชื่อแบบนั้น แต่ท่านไม่คิดถึงภาพที่จะออกไป หรือความเห็นของประชาชนที่รอฟังอยู่บ้างหรือ

นายวัชระพล จึงกล่าวย้ำถึงเหตุผลที่รัฐมนตรีได้มีการตอบไปแล้ว ซึ่งเนื้อหาที่สมาชิกอภิปรายทั้งหมดวนเวียนซ้ำซากอยู่ที่เดิม ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราคุยกันเลย เพราะญัตติคือถอนหรือไม่ถอน 

นายพลพีร์ สุวรรณฉวี สส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เราอภิปรายไปได้แค่ประมาณครึ่งชั่วโมง ฝั่งรัฐบาลรอไม่ได้หรือแค่ 49 นาที สมาชิกพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะชาวมุสลิม อยากจะท้อนว่า กฎหมายนี้ไม่ดีอย่างไร "ทนหน่อยสิครับ รัฐมนตรีก็อยู่กันเต็มสภาไปหมด ทำไมรอชั่วโมงเดียวไม่ได้ ทุกคนจะออกไปข้างนอกหรืออย่างไร" 

น.ส.แนน บุณย์ธิดา สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ถ้ามีสมาชิกเสนอให้ปิดการอภิปราย ตนก็ขอเสนอให้มีการอภิปรายต่อ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด การจะวินิจฉัยว่าสมาชิกท่านใดอภิปรายแบบไหน เป็นหน้าที่เป็นประธาน เมื่อประธานไม่ได้มีการทักท้วง ก็สามารถให้สมาชิกอภิปรายได้ "ขอความกรุณาเถอะค่ะ อย่าใช้นิสัยเดิมๆ ในการปิดปาก ไม่ให้มีการพูดกันในสภาแบบเมื่อสมัยก่อนๆ"

จากนั้นได้มีการถกเถียงกัน ระหว่าง สส.ของพรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย อยู่พักหนึ่ง กระทั่ง นายพิเชษฐ์ได้กดออดเรียกสมาชิกเข้าแสดงตนในห้องประชุมอีกหลายครั้ง  

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นกล่าวว่า "ขอความกรุณาประธานใจเย็นนิดนึง ในการตรวจสอบองค์ประชุม เพราะตอนนี้ก็เวลาเที่ยงคนอยู่เยอะ ผู้สูงอายุที่เหนือกว่าตนเดินเข้ามาในห้องประชุมยาก บางคนอยู่ในห้องประชุมกรรมาธิการก็อาจจะมาช้า ไม่ได้คิดว่าจะมีการตรวจสอบองค์ประชุมไวขนาดนี้ จึงขอเวลาอีกสักนิด" 

สุดท้าย เมื่อนายพิเชษฐ์ ปิดการแสดงตน พบว่า มีองค์ประชุมอยู่ 253 เสียง ซึ่งถือว่าเกินกึ่งหนึ่ง มาเพียง 7 คน โดยผลการลงมติจากจำนวนสมาชิก 259 เสียง เห็นด้วย 251 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 4 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมฝ่ายเห็นชอบให้มีการปิดอภิปราย

จากนั้นเวลา 12.55 น. นายพิเชษฐ์ ได้ขอให้มติที่ประชุม ว่า จะยินยอมให้ถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถาบันเทิงครบวงจรหรือ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ออกจากระเบียบวาระการประชุมหรือไม่  ผลปรากฎว่า จากจำนวนสมาชิก 318 เสียง เห็นด้วย 253 เสียง ไม่เห็นด้วย 67 เสียง งดออกเสียง 0 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 0 เสียง เป็นอันว่า ที่ประชุมมีมติยินยอมที่จะถอนร่างพระราชบัญญัตฉบับนี้ ออกจากเบียบวาระการประชุม