วันที่ 8 ก.ค.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล จากกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ภาพจดหมายถึงรัฐบาลไทยผ่าน Truth Social ยืนยันรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลยังมั่นใจว่า แม้สหรัฐฯ จะประกาศอัตราภาษี 36% ออกมา แต่ก็ได้ส่งข้อเสนอไปแล้วและน่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี
"ตอนนี้เห็นว่า การเจรจาต้องใช้เวลา เขาจึงเลื่อนเวลาออกไป และอัตราภาษีที่ส่งมามี 2-3 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกคือถ้ายังไม่มีการเจรจา ก็ยืนตามเดิม อีกกลุ่มที่คิดว่าเคยเสนอไปแล้วและต่ำกว่าเกิดก็ปรับให้เข้ากลุ่ม แปลว่า ไทยจะต้องใช้เวลาต่อจากนี้ทำงานให้หนักขึ้น และมั่นใจข้อมูลที่ส่งไปล่าสุด ทางผู้ปฏิบัติได้รับแล้ว และเป็นไปได้ว่าหนังสือที่ออกมา เป็นเพราะวันที่ 9 ก.ค.เป็นวันสุดท้าย ถ้าไม่มีหนังสือออกมาก็ทำให้ผลทำงานไม่ได้"
ทั้งนี้รัฐบาลยังมั่นใจว่า สุดท้ายแล้วอัตราภาษีของไทยที่ส่งไปล่าสุดจะอยู่ในกลุ่มที่แข่งขันได้ ส่วนข้อเสนอที่จะบอกว่าลดภาษีสินค้าบางรายการลงประมาณ 90% ซึ่งในกลุ่มนี้มีสินค้าที่ไม่คิดภาษี หรือ ภาษี 0% อยู่ด้วยนั้น นายพิชัย มองว่า ปกติข้อเสนอรายการสินค้าจะมีอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งเดิมเรามี FTA อยู่แล้วบางรายการก็มีอัตราภาษี 0% บางสินค้าจึงไม่มีเหตุผลที่เราจะให้เหมือนประเทศอื่น
นายพิชัย กล่าวว่า การคิดอัตราภาษี 36% ครั้งนี้ หากดูในรายละเอียดจะไม่ได้เป็นการจัดเก็บอัตราภาษีทั้งหมด แต่บางรายการสามารถดึงอัตราภาษีที่มีความแตกต่างกันออกมาได้ ส่วนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ก็คงต้องพิจารณาว่าจะนำเข้ารายการไหนบ้าง ซึ่งทางสหรัฐฯ กำลังพิจารณา โดยตอนนี้มองว่า การคิดอัตราภาษีคงไม่ใช่อัตราเดียว อาจจะมีอัตราหนึ่งที่ยืนไว้ อีกส่วนเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสินค้านั้น ๆ
ทั้งนี้ ยอมรับว่า รัฐบาลคงวางไทม์ไลน์เรื่องวันเวลาไม่ได้ว่าทางสหรัฐฯ จะตอบมาเมื่อใด เพราะสิ่งที่ไทยให้สหรัฐฯ จะได้ผ่านการเจรจาไปแล้ว ส่วนกรณีเลวร้ายที่สุดถ้าสหรัฐฯ ไม่รับพิจารณาข้อเสนอ และเก็บภาษี 36% เท่าเดิม เห็นว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าข้อเสนอที่เสนอไปก่อนหน้านี้เป็นข้อเสนอที่ดีและเปิดเผย และตอนนี้ต้องคำนึงว่า เมื่อเสนอไปแล้วก็มีผู้เกี่ยวข้องพิจารณาอีกหลายขั้นตอน
"ถามว่ารัฐบาลเดิมเกมช้าหรือไม่ เห็นว่าไม่ช้า เพราะว่าการทำเรื่องนี้คนในระดับนโยบายและระดับทำงานก็ทำงานมาตลอด และที่ผ่านมาก่อนจะเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯ คณะทำงานก็มีการพูดคุยก่อนหน้านั้นเป็นเดือน โดยลงรายละเอียดถึงรายสินค้า ส่วนการไปเจรจาระดับนโยบายก็ไปคุย ทั้งหมดก็มองว่าไม่ได้ช้า"
อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลการจัดเก็บภาษีในท้ายที่สุดหลังวันที่ 1 ส.ค.2568 จะออกมาเป็นอย่างไร รัฐบาลยืนยันว่ามีแผนสำรองมารองรับทั้งกรณีคิดภาษี 36% หรือต่ำกว่า 36% เพราะปัจจุบันการค้าบนโลกปัจจุบันต้องปรับปรุงตลอด ส่วนการเยียวยาผู้ประกอบการ ก็ได้เตรียมการรองรับอยู่แล้ว ขณะที่งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 4 หมื่นล้านบาทจะนำมาใช้รองรับผลกระทบด้วยหรือไม่นั้น รองนายกฯ ระบุว่า ก็คงต้องพิจารณาความจำเป็นก่อน
"รัฐบาลมั่นใจว่าการยื่นข้อเสนอไปล่าสุดก็ได้อธิบาย และสามารถวัดผลได้ ดูแล้วสามารถปฏิบัติได้ และได้ผลตอ่เนื่องไม่ใช่ทำ ๆ หาย ๆ ซึ่งการเสนออะไรไปหากไปรับปากเฉย ๆ อย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติได้ด้วย"
ส่วนรัฐบาลจะเดินทางไปเจรจากับทางสหรัฐฯ อีกหรือไม่นั้น นายพิชัย ระบุว่า ขณะนี้ในระดับทำงานจะทำงานกันอย่างหนัก และก็พร้อมเดินทางไปเจรจาอีกครั้ง หากต้องมีการเจรจาเพิ่มเติม
ส่วนของกรณีที่รัฐบาลไทยได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ครั้งที่ 17 ในฐานะประเทศหุ้นส่วนที่ได้รับเชิญมากกว่า 27 ประเทศทั่วโลก ในห้วงของการประกาศขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น นายพิชัย มองว่า การเข้าร่วมประชุมไปในฐานะเรียนรู้และสังเกตการณ์ เพราะวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก หากจะใช้วิธีคิดแบบเดิมคงไม่ได้ และไทยต้องอยู่ให้ได้กับทุกฝ่าย ซึ่งเห็นว่า คงไม่เสียหายอะไร