ข่าว “แพทองธาร” จะเข้าร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณในฐานะรัฐมนตรีวัฒนธรรม ทั้งที่เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักหน้าที่นายกรัฐมนตรี จุดกระแสวิจารณ์เดือดทั่วสังคม “นี่คือช่องกฎหมาย หรือบทพิสูจน์ความกล้าท้าชนจริยธรรมทางการเมือง?”
กรณีที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” เนื่องจากอยู่ระหว่างการวินิจฉัยข้อกล่าวหาขาดคุณสมบัติและมาตรฐานจริยธรรมจากคลิปเสียงที่มีเนื้อหาละเมิดอำนาจอธิปไตยของชาติ ยังไม่ทันจบดี ก็เกิดกระแสวิพากษ์ใหม่ เมื่อชื่อของเธอปรากฏในรายนามคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ (ครม.แพทองธาร 2) ในตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมเตรียมเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์
คำถามจึงเกิดขึ้นทันทีในสังคมว่า “คนที่ถูกพักจากตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร เพราะอาจขาดคุณสมบัติทางจริยธรรม ยังควรมีสิทธิรับตำแหน่งรัฐมนตรีอื่นหรือไม่?” และ “นี่คือช่องว่างของกฎหมาย หรือการท้าทายจริยธรรมทางการเมือง?”
กฎหมายเปิดช่องแต่สังคมปิดใจ?
อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ชั่วคราวระหว่างรอการวินิจฉัย ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นพ้นจากตำแหน่งโดยสมบูรณ์ หรือหมดสิทธิในการดำรงตำแหน่งอื่นในทันที
ทำให้มีการกล่าวอ้างว่า น.ส.แพทองธาร ยังมีสถานะเป็นนักการเมืองที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และเมื่อพระราชโองการแต่งตั้งประกาศใช้แล้ว การเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณจึงเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย
แต่แม้กระบวนการจะถูกต้องในทางกฎหมาย ทว่า ความชอบธรรมในเชิงจริยธรรมกลับกลายเป็นคำถามใหญ่ในสังคม เพราะบุคคลที่ถูกตรวจสอบเรื่อง “คุณสมบัติ-จริยธรรม” ยังควรได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งใหม่ทันทีหรือไม่?
ศาลสั่งหยุดแค่“นายกฯ” หรือ “ทุกตำแหน่ง”?
ข้อถกเถียงสำคัญอยู่ที่ขอบเขตของคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น มิได้ห้ามหรือถอนสิทธิในการรับตำแหน่งรัฐมนตรีอื่น
นักกฎหมายบางส่วนยืนยันว่า การดำเนินการในตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมจึงยังอยู่ภายใต้ขอบเขตของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ละเมิดหลักการแต่อย่างใด
กระนั้น หากศาลในอนาคตมีคำวินิจฉัยว่า น.ส.แพทองธาร ขาดคุณสมบัติอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5) เช่น “ขาดความซื่อสัตย์สุจริต” หรือ “มีพฤติกรรมละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ก็อาจส่งผลให้ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งใด ๆ ทางการเมืองได้เลย รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมด้วย
ฝ่ายสนับสนุนชี้ยังไม่ผิด-ไม่ควรถูกตัดสิทธิ์
ผู้ที่สนับสนุน น.ส.แพทองธาร ออกมาโต้แย้งว่า การสั่ง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ยังไม่ใช่คำวินิจฉัยว่ามีความผิดจริง จึงไม่ควรมีการตัดสิทธิ์ก่อนกระบวนการจะสิ้นสุด ยิ่งเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แล้ว ก็ควรเคารพอำนาจของรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจ
อีกทั้งยังมองว่า น.ส.แพทองธารมี “ความสามารถด้านการขับเคลื่อน Soft Power” ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาล การให้เธอทำงานต่อในตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรม จึงเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าจะเป็นอุปสรรค
เหยียบเส้นจริยธรรม ท้าทายความรู้สึกประชาชน
ในทางกลับกัน นักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายค้าน และภาคประชาชนจำนวนไม่น้อยออกมาวิพากษ์อย่างหนัก โดยชี้ว่า ถึงกฎหมายอาจไม่ห้าม แต่ “จริยธรรมทางการเมือง” ไม่ควรถูกตีความอย่างผิวเผิน
1.ขัดหลักธรรมาภิบาล การที่บุคคลถูกศาลสั่งพักงานจากตำแหน่งสำคัญ เพราะมีข้อสงสัยเรื่องจริยธรรม แต่ยังรับตำแหน่งอื่นได้ สะท้อนว่า ผู้มีอำนาจทางการเมืองอาจไม่เคารพต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
2.ทำลายภาพลักษณ์ รัฐบาลอาจถูกมองว่าดำเนินการแบบ “ไม่แคร์เสียงวิจารณ์” และ “ไม่รับผิดชอบต่อสังคม” โดยเฉพาะในยุคที่ประชาชนเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้น
3.สร้างบรรทัดฐานอันตราย หากปล่อยให้กรณีนี้กลายเป็นเรื่องปกติ จะเท่ากับเปิดช่องให้ผู้ที่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนหาทางเลี่ยงความรับผิดชอบผ่าน “ตำแหน่งใหม่” ซึ่งจะกระทบโครงสร้างทางคุณธรรมของระบบการเมืองไทยในระยะยาว
ความเปราะบางของ “ความชอบธรรม”
กรณีนี้ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของแนวคิด “ความชอบธรรม” ที่แม้จะยึดหลักกฎหมาย แต่ไม่สามารถสร้าง “ความไว้วางใจ” จากประชาชนได้
ในยุคที่ความไวต่อประเด็นความโปร่งใสและคุณธรรมสูงขึ้น ประชาชนจำนวนมากไม่สนใจว่ากระบวนการถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากผลที่เกิดขึ้นขัดแย้งกับ “สามัญสำนึกความยุติธรรม”
ภาพของผู้นำที่กำลังถูกตรวจสอบเรื่องจริยธรรมแต่ยังเดินเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ อาจถูกตีความว่าเป็น “การท้าทายความรู้สึกของประชาชน” อย่างรุนแรง
สื่อมวลชนกับบทบาทในการตรวจสอบ
สื่อมวลชนกลายเป็นอีกพลังสำคัญในการสะท้อนความเห็นของสังคมในเรื่องนี้ ทั้งในมิติของข้อกฎหมาย การเมือง และจริยธรรม ผ่านรายการข่าว บทความวิเคราะห์ และการสัมภาษณ์นักวิชาการ นักกฎหมาย และนักการเมือง
คำถามที่ปรากฏบนหน้าสื่อ ได้แก่
-ทำไมต้องแต่งตั้งบุคคลที่ถูกพักงานจากตำแหน่งนายกฯ มาเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรม?
-นี่คือแผนสำรองของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ หากแพทองธารหลุดจากตำแหน่งนายกฯ?
-การกระทำเช่นนี้ส่งผลอย่างไรต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาต่างชาติ?
ผลกระทบทางการเมืองที่รออยู่
การแต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร เป็น รมว.วัฒนธรรม ทั้งที่ยังอยู่ระหว่างถูกพักจากตำแหน่งนายกฯ อาจส่งผลกระทบในหลายด้าน ดังนี้:
ต่อเสถียรภาพรัฐบาล ฝ่ายค้านจะใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือในการโจมตีความชอบธรรมของรัฐบาล
ต่อความเชื่อมั่นประชาชน อาจทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง
ต่อภาพลักษณ์ประเทศ ต่างชาติและองค์กรด้านธรรมาภิบาลอาจจับตาการเมืองไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพฤติกรรมนี้ถูกมองว่า “ซิกแซกหลบจริยธรรม”
ต่อกระบวนการตรวจสอบในอนาคต อาจทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือการตรวจสอบของศาล หากผลที่ตามมาไม่ได้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
ถูกกฎหมาย…แต่ผิดจริยธรรมหรือไม่?
แม้การแต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจะเป็นไปตามกรอบกฎหมาย แต่คำถามใหญ่ที่สังคมยังรอคำตอบคือ “การกระทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?” และ “สะท้อนถึงความเคารพต่อหลักธรรมาภิบาลเพียงพอหรือเปล่า?”
การเมืองที่ยึดกฎหมายแต่ไม่ยึดจริยธรรม อาจไปได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะกัดเซาะรากฐานของประชาธิปไตยและความเชื่อมั่นในสถาบันการเมือง
และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนัก“ประชาชนให้อำนาจได้ และประชาชนก็เอาคืนได้เช่นกัน”
#แพทองธาร #ครมแพทองธาร2 #ศาลรัฐธรรมนูญ #ถวายสัตย์ #รมตวัฒนธรรม #จริยธรรมการเมือง #เพื่อไทย #ข่าวการเมือง