วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งรวมถึงการที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย กลายเป็นประเด็นที่จุดกระแสวิพากษ์ในวงการการเมืองทันที

ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนชูว่าเป็นการผลักดัน “Soft Power” อย่างจริงจัง ฝ่ายวิพากษ์กลับมองว่านี่คือ “แผนสำรอง” ที่เตรียมไว้ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจากคดีที่กำลังถูกร้องเรียน

เป็นที่มาของคำถามว่าการควบตำแหน่งในจังหวะเปราะบางทางการเมืองเช่นนี้ เป็นเพียงการบริหารเชิงนโยบาย หรือเป็นกลยุทธ์ที่ซ่อนเร้นทางการเมือง เพื่อรักษา “สถานะทางอำนาจ” ของผู้นำจากตระกูลชินวัตรให้ได้มากที่สุด?

 มุมมองจากฝ่ายสนับสนุน: ขับเคลื่อน Soft Power หรือ Strategic Leadership?

ฝ่ายสนับสนุนของ น.ส.แพทองธาร ให้เหตุผลว่า การเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มีเป้าหมายเพื่อผลักดันนโยบาย Soft Power ให้เกิดเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย

1.Soft Power = สะพานเชื่อมเศรษฐกิจและวัฒนธรรม น.ส.แพทองธารเคยกล่าวไว้หลายครั้งถึงวิสัยทัศน์ของเธอที่ต้องการใช้วัฒนธรรมไทยเป็นเครื่องมือในการผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และนำรายได้กลับสู่ประเทศจากภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล การแสดง ศิลปะ อาหาร และแฟชั่น

2. ผู้นำต้องลงมือเอง ในมุมนี้ ฝ่ายสนับสนุนบอกว่า หากปล่อยให้กระทรวงวัฒนธรรมเดินตามจังหวะเดิม อาจไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ทันกับความคาดหวังของประชาชน การที่ผู้นำประเทศลงมาควบเอง เท่ากับเป็นการแสดงความจริงจังในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ

3. บูรณาการข้ามกระทรวง การควบตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี เป็นประตูให้เกิดการบูรณาการงานระหว่างกระทรวง เช่น ท่องเที่ยว กีฬา ดิจิทัล หรือศึกษาธิการ ภายใต้โจทย์ร่วม “ส่งออกวัฒนธรรมไทย” สู่ตลาดโลก

มุมมองจากฝ่ายวิพากษ์: เกมการเมืองเพื่อความอยู่รอด?

แม้ข้ออ้างเรื่อง Soft Power จะฟังดูเป็นบวก แต่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กลับเห็นว่า นี่อาจไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย แต่คือ “เกมการเมืองลึก” ที่เตรียมไว้ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน

1. “แผนสอง” หากนายกฯ ถูกพักงาน ข้อสังเกตที่สำคัญคือ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจากคดีขาดคุณสมบัติ ความซื่อสัตย์สุจริต หรือมาตรฐานจริยธรรม ผู้ที่ถูกพักอาจยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงอื่นได้เหมือนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2565 ซึ่งยังเป็น รมว.กลาโหม แม้ไม่ได้ทำหน้าที่นายกฯ

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายรัฐธรรมนูญจำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า คดีของแพทองธารอาจแตกต่าง เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเจตนาทางการเมือง การช่วยเหลือชาติต่างประเทศ และการละเมิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งอาจส่งผลถึงตำแหน่ง “รัฐมนตรีทุกตำแหน่ง” ได้

2. เสี่ยงถูกฟ้องซ้ำซ้อน  นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีวัฒนธรรมและนักกฎหมายผู้คร่ำหวอดในสภา เตือนว่า การไปนั่งควบตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม ในขณะที่กำลังถูกสอบเรื่องจริยธรรม อาจทำให้เกิดการฟ้องร้องใหม่ในข้อหาเดียวกันซ้ำซ้อน ถือเป็น “ความเสี่ยงทางการเมือง” ที่อาจย้อนกลับมาทำลายตัวเอง

3.อำนาจกระจุกตัว ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาในผู้นำหญิงของประเทศ การควบตำแหน่งอาจถูกตีความว่าเป็น “การรวมศูนย์อำนาจ” ไม่เปิดโอกาสให้มืออาชีพหรือผู้มีความเชี่ยวชาญจากภายนอกได้มีบทบาท ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลว่าขาดความโปร่งใส และไม่สนเสียงวิพากษ์ของสาธารณชน

4. คำถามเรื่องภาระงานและประสิทธิภาพ ในบริบทที่รัฐบาลกำลังเผชิญทั้งม็อบต่อต้าน การถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจตกต่ำ และปัญหาการเมืองภายในพรรคร่วม คำถามใหญ่คือ “แพทองธารจะมีเวลาขับเคลื่อน Soft Power จริงหรือ?” หรือเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ใช้เบี่ยงเบนความสนใจ?

การเมืองไทยกับ “ความไม่แน่นอน” ทางรัฐธรรมนูญ

การควบตำแหน่งครั้งนี้สะท้อนความซับซ้อนทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญของไทยที่ยังคงคลุมเครือและเปิดช่องให้ตีความได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น

-มาตรา 160 (4)-(5) เรื่องคุณสมบัติด้านจริยธรรมของรัฐมนตรี

-คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในอดีต ที่เคยให้ผู้นำบางคนยังคงดำรงตำแหน่ง รมต. แม้ถูกพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ “การเมืองแบบแพทองธาร” ยังต้องเดินบนเส้นด้ายบาง ๆ ระหว่างการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญกับการเสี่ยงถูกตีความว่าใช้อำนาจเกินขอบเขต

Soft Power หรือ Soft Landing?

หากวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา บางฝ่ายมองว่าแท้จริงแล้ว การควบตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือขับเคลื่อน Soft Power เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการวางตัวเองไว้ในตำแหน่งสำรอง เพื่อ Soft Landing หากจำเป็นต้องหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่างกะทันหัน

คำถามสำคัญคือ หากศาลตัดสินว่าขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งนายกฯ จริง ยังมีทางให้น.ส.แพทองธารกลับมาในฐานะ “รมว.วัฒนธรรม” เพื่อรอจังหวะกลับมาสู่อำนาจในอนาคตหรือไม่?

หรือถ้าศาลตีความให้ต้องหลุดจากทุกตำแหน่งทางการเมือง รัฐบาลเพื่อไทยก็ยังสามารถใช้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเวทีสำรองในการขับเคลื่อน Soft Power ต่อได้ผ่านบุคคลอื่นที่มีแนวทางใกล้เคียง

การควบตำแหน่งที่ไม่อาจมองข้าม

การที่ น.ส.แพทองธารควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างรัฐบาลเท่านั้น แต่คือการเมืองเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อทั้ง “การอยู่รอดของรัฐบาล” และ “อนาคตของผู้นำตระกูลชินวัตร”

คำตอบว่า “Soft Power หรือ Soft Landing” จะขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในไม่ช้า และขึ้นอยู่กับสายตาของประชาชน ว่าจะเห็นว่าเป็น “เจตนาดีเพื่อชาติ” หรือ “แผนซ่อนอำนาจเพื่อตัวเอง”

 

#แพทองธาร #ครมใหม่ #รมววัฒนธรรม #SoftPower #รัฐธรรมนูญ #ศาลรัฐธรรมนูญ #คลิปเสียงฮุนเซน #วิกฤตรัฐบาล #เพื่อไทย #วิเคราะห์การเมือง