วันที่ 1 ก.ค.68 พริษฐ์ วัชรสินธุ ไอติม สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu ระบุว่า...
[ พรรคประชาชนไม่เคยเกรงใจใคร และไม่เคยไว้วางใจรัฐบาลแพทองธาร แต่การเปลี่ยนรัฐบาลต้องไม่แลกกับการบ่อนทำลายหลักการประชาธิปไตย ]
ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ที่ไม่เคยหวังจะร่วมรัฐบาลหรือต้องอกหักจากการร่วมรัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยในสภาชุดนี้ ผมยืนยันว่าพรรคเราทำงานเต็มที่ในการตรวจสอบรัฐบาลและปกป้องผลประโยชน์ประชาชน ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล
เมื่อเราเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน พรรคเราเห็นตรงกัน ว่าอาวุธที่เราเลือกใช้ในการตรวจสอบรัฐบาล จะต้องมุ่งสู่การป้องกันความเสียหายและการเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลต่อความผิดพลาด แต่อาวุธดังกล่าว จะต้องไม่หันกลับมาทำลายหลักการประชาธิปไตย หรือสร้างความชอบธรรมให้กับอาวุธที่เสี่ยงจะถูกใช้ตามอำเภอใจอย่างไม่เสมอภาคกับทุกฝ่าย
ในส่วนของสภา คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเราได้พยายามใช้ทุกกลไกตรวจสอบของสภามาโดยตลอดและจะยังคงใช้ต่อไป ทั้งกลไกกระทู้สด กลไกกรรมาธิการ และรวมถึงกลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่เราจะมีการเตรียมใช้อย่างแน่นอน
ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ แม้เราเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระควรมีกระบวนการได้มาและกลไกถอดถอนที่ยึดโยงกับประชาชนมากกว่าปัจจุบัน แต่เราไม่เคยปฏิเสธกลไกตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระทั้งหมด
- หากเป็นเรื่อง “การทุจริต” ซึ่งมีนิยามที่ชัดเจน ทางเราเห็นว่าผู้มีอำนาจจะต้องมีความรับผิดรับชอบทางกฎหมาย และการใช้อาวุธของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เป็นช่องทางที่เราต้องดำเนินการ - เช่น การยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยกรณีที่มีการแทรกแซงการจัดสรรงบประมาณเพื่อประโยชน์ส่วนตน (เช่น การตรวจสอบ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน กรณีงบสภา) / การยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจากการถือหุ้น (เช่น การตรวจสอบ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ กรณีหุ้นบุรีเจริญ) / การยื่น ป.ป.ช. เรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ (ซึ่งอาจเป็นปลายทางของการตรวจสอบ แพทองธาร ชินวัตร เรื่องตั๋ว PN หลังจากที่เราได้ยื่นเรื่องไปที่กรมสรรพากรไปเรียบร้อยแล้วตามประมวลรัษฏากร)
- แต่หากเป็นเรื่อง “จริยธรรม” ซึ่งต่างคนต่างตีความไม่เหมือนกัน ทางเราเห็นเหมือนกับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ว่าผู้มีอำนาจควรจะต้องแสดงความรับผิดรับชอบทางการเมือง แทนที่จะกำหนดในบทกฎหมายให้มีใครบางกลุ่มผูกขาดการตีความเรื่องจริยธรรมและเสี่ยงจะใช้เรื่องจริยธรรมมากลั่นแกล้งกันทางการเมือง - ดังนั้น ตั้งแต่เราทำหน้าที่แกนนำฝ่ายค้าน เราจึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธดังกล่าว แม้หลายครั้งอาจเป็นประโยชน์ทางการเมืองสำหรับเรา เพราะเราเห็นว่าการสร้างสังคมที่เสพติดการใช้อาวุธดังกล่าว มีแต่จะบั่นทอนหลักนิติรัฐ ซึ่งจะมั่นคงได้ต่อเมื่อเรามีการตีความกฎหมายที่มีความชัดเจนแน่นอนและการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม-เสมอภาค
ดังนั้น แม้เราเห็นต่างกันได้ ว่าพรรคประชาชนควรเลือกใช้อาวุธใดในการตรวจสอบรัฐบาล ที่จะส่งผลดีที่สุดสำหรับประเทศทั้งในเชิงผลลัพธ์เฉพาะหน้าและการสร้างบรรทัดฐานในระยะยาว แต่การตัดสินใจของเราในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ไม่เคยมีครั้งไหนที่เราออมมือหรือเกรงใจใคร แต่เราใช้ “มาตรฐานเดียวกัน” ในการตรวจสอบผู้มีอำนาจทุกคน
สิ่งที่พรรคประชาชนไม่เคยทำคือ:
- วันหนึ่งเลือกไม่เดินหน้านโยบายสำคัญๆเพียงเพราะต้องรักษาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม แต่อีกวันหนึ่งก็เดินหน้าเต็มที่เมื่อตัดสินใจแยกทางกัน
- วันหนึ่งปิดตาข้างเดียวต่อการทุจริตและความไม่โปร่งใสของฝ่ายเดียวกัน แต่อีกวันหนึ่งก็ตรวจสอบเขาเต็มที่เมื่อกลับมาอยู่กันคนละฝ่าย
- วันหนึ่งส่งเสียงสนับสนุนกลไกและกลุ่มคนที่ทำให้รัฐบาลข้ามขั้วตั้งได้สำเร็จ แต่อีกวันหนึ่งก็มาพยายามผูกขาดความเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไว้กับตนเอง
ทางผมและพรรคประชาชนยีนยันว่าคุณแพทองธารไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
ทางผมและพรรคประชาชนยีนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ควรได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไป
ทางผมคาดว่านายกฯแพทองธารและรัฐบาลชุดนี้กำลังจะเจอจุดจบทางการเมืองในเร็วๆนี้
แต่ทางผมเห็นว่าการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เกิดขึ้นได้ และควรเกิดขึ้น
โดยไม่ต้องแลกมากับ “ราคาที่ประชาชนต้องจ่าย” ในรูปแบบของหลักการประชาธิปไตยที่ถูกบ่อนทำลาย