วิเคราะห์วาระซ่อนเร้นของพรรคการเมือง? เมื่อ “เพื่อไทย-ประชาชน” ใช้คำพูดม็อบเป็นเครื่องมือเบี่ยงเบน
การเมืองไทยในปลายเดือนมิถุนายน 2568 กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ออกมาชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมเสียงเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาลอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือท่าทีตอบโต้ของสองพรรคการเมืองหลักในสภา ได้แก่ พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ที่ต่างออกแถลงการณ์ประณามการชุมนุมนี้ โดยอ้างว่าเป็นการปลุกระดมให้เกิดรัฐประหาร
คำถามสำคัญคือ เหตุใดทั้งสองพรรคจึงเลือกมุ่งโจมตีเพียงถ้อยคำบางช่วงของแกนนำบางคน ในขณะที่ละเลยข้อเรียกร้องหลักของประชาชนส่วนใหญ่? พวกเขามีวาระซ่อนเร้นใดในการจัดวางประเด็นเช่นนี้หรือไม่?
การเลือกเป้าหมาย: จากม็อบต่อต้านรัฐบาล สู่การตีตราว่า “ปลุกปฏิวัติ”
แถลงการณ์ของพรรคประชาชนระบุว่า การชุมนุมของคณะรวมพลังแผ่นดินเป็นการปลุกปั่นกระแสชาตินิยมเกินขอบเขต และเปิดทางไปสู่รัฐประหาร ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ย้ำว่า “รับไม่ได้” กับการปลุกระดมดังกล่าว และกล่าวถึงความเสียหายจากการรัฐประหารในอดีต
แต่หากพิจารณาเนื้อหาการชุมนุมในภาพรวม ข้อเรียกร้องหลักของประชาชนไม่ได้อยู่ที่การเรียกร้องให้ทหารเข้ามาแทรกแซง หากแต่เน้นการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากกรณีคลิปเสียงกับฮุน เซน และการบริหารงานที่ประชาชนมองว่าไม่โปร่งใส สะท้อนความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อ “ระบอบชินวัตร”
การที่ทั้งสองพรรคเลือกหยิบยกแค่คำปราศรัยของบางแกนนำบางคน (ที่ก็ยังมีข้อโต้แย้งว่าไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหารจริง) และละเลยความต้องการหลักของผู้ชุมนุม ทำให้เกิดข้อสงสัยถึง “เจตนาทางการเมือง” ที่แฝงอยู่เบื้องหลังคำประณามนั้น
วาทกรรมต้านรัฐประหาร: เครื่องมือเบี่ยงประเด็น
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา วาทกรรม “ต่อต้านรัฐประหาร” ถูกใช้เป็นโล่ห์ทางการเมืองที่ทรงพลัง โดยเฉพาะในหมู่พรรคการเมืองที่บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งรวมถึงพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน การกล่าวหาใครก็ตามที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่า “เปิดทางให้เกิดรัฐประหาร” จึงกลายเป็นกลไกอัตโนมัติที่ใช้ปกป้องอำนาจของตนเองจากแรงกดดัน
ทว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน การที่ประชาชนออกมาชุมนุม ไม่ใช่เพื่อเรียกหารถถัง หากเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี การตอบโต้ด้วยวาทกรรมต้านรัฐประหาร โดยไม่แตะข้อเรียกร้องหลัก จึงกลายเป็นการบิดเบือนความจริง
พรรคเพื่อไทย: ปกป้องตัวบุคคล หรือปกป้องระบอบ?
พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ย่อมเผชิญแรงกดดันโดยตรงจากมวลชน เมื่อคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีตกลงอย่างน่าใจหาย (ล่าสุดจากนิด้าโพลเหลือเพียง 9.2%) การชุมนุมที่มีเป้าหมายให้แพทองธารลาออกจึงเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
การออกแถลงการณ์โดยมุ่งโจมตีว่า “ม็อบปลุกระดมให้เกิดรัฐประหาร” จึงเป็นกลวิธีในการหันเหความสนใจจากข้อเรียกร้องแท้จริงของประชาชน และแทนที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ กลับเลือกใช้วาทกรรมเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของการเคลื่อนไหว
พรรคประชาชน: ตำแหน่งฝ่ายค้านที่ได้เปรียบ แต่ไม่อยากเปลี่ยนเกมเร็ว?
พรรคประชาชนแม้จะได้คะแนนนิยมพุ่งสูงในโพล แต่ก็ยังมีข้อจำกัดทางการเมือง เช่น การไม่สามารถรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ในปัจจุบัน การเลือกออกแถลงการณ์โจมตีม็อบว่า “ปลุกระดมรัฐประหาร” อาจสะท้อนถึงความต้องการรักษาภาพลักษณ์ “ประชาธิปไตยจ๋า” เพื่อรองรับฐานเสียงกลาง ขณะเดียวกันก็อาจไม่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทันทีที่ยังไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พรรคประชาชนอาจไม่ได้ต้องการให้รัฐบาลเพื่อไทยล้มเร็วเกินไป แต่ต้องการรอให้ “สุกงอม” มากกว่านี้ จึงต้องแสดงออกว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อไม่ให้เสียคะแนน แต่ก็ยังประณามม็อบให้ดู “รุนแรงเกินเหตุ” เพื่อไม่ให้เกิดคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่ตนเองยังไม่พร้อมรับมือ
ประชาชนคือผู้ถูกลืม: เมื่อการเมืองกลบเสียงเรียกร้อง
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดจากสถานการณ์นี้ คือเสียงของประชาชนจำนวนมากที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างสงบ ถูกกลบด้วยเสียงกล่าวหาทางการเมืองจากทั้งสองฝั่ง ทั้งที่ข้อเรียกร้องของพวกเขาชัดเจน คือ
-เรียกร้องให้แพทองธารลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
-ให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีคลิปเสียงกับต่างชาติ
-เรียกร้องให้หยุดยื้อเวลา และคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งใหม่
แต่กลับถูกทำให้กลายเป็น “แนวร่วมปฏิวัติ” อย่างไม่เป็นธรรม
เมื่อวาทกรรมบดบังความจริง
แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนที่ดูเหมือนเป็นการปกป้องประชาธิปไตย แต่หากมองลึกลงไป มันอาจสะท้อนถึงการใช้วาทกรรมเพื่อปกป้องอำนาจของตนเองในรูปแบบต่างกัน พรรคเพื่อไทยอาจปกป้องตัวบุคคล ส่วนพรรคประชาชนอาจปกป้องจังหวะทางการเมืองของตน
แต่ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์คือประชาชนที่ออกมาเรียกร้องอย่างสงบ กลับถูกเพิกเฉยและบิดเบือน
นี่คือเวลาที่ทุกฝ่ายต้องหยุดใช้วาทกรรมเพื่อเอาชนะกัน และเริ่มฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง ก่อนที่ความไม่พอใจจะลุกลามจนไม่มีใครควบคุมได้
#ม็อบรวมพลังแผ่นดิน #เพื่อไทย #พรรคประชาชน #แพทองธาร #ต้านรัฐประหาร #การเมืองไทย #วาระซ่อนเร้น #ม็อบ28มิถุนา