“ม็อบรวมพลังแผ่นดิน” เปิดทางรัฐประหารจริงหรือ? เมื่อเจตนารมณ์ประชาชนถูกแปรความเพื่อทำลายความชอบธรรม
ปลายเดือนมิถุนายน 2568 การชุมนุมของกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองไทย การรวมตัวของประชาชนจากหลายภาคส่วนเพื่อเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกหรือยุบสภา ได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมไทย
แต่ขณะเดียวกัน มีความพยายามจากบางฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลในการแปรเจตนารมณ์ของผู้ชุมนุม ให้กลายเป็น “การเคลื่อนไหวเพื่อเปิดทางให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง” โดยเฉพาะคำว่า “รัฐประหาร” ที่ถูกโยงเข้าอย่างจงใจ
คำถามคือ ม็อบนี้เปิดทางรัฐประหารจริงหรือ? หรือเป็นเพียงความพยายามทำลายความชอบธรรมของมวลชน?
เสียงประชาชนหรือเงาของอำนาจนอกระบบ?
จากการสังเกตการณ์ของนักวิเคราะห์การเมืองอิสระ มีการระบุว่าเจตนารมณ์ของประชาชนในม็อบรวมพลังแผ่นดินหลากหลาย ไม่ใช่แค่เรื่องตัวบุคคล แต่รวมถึงการปกป้องอธิปไตยของชาติ และปฏิเสธอิทธิพลต่างชาติ โดยเฉพาะหลังกรณี “คลิปเสียงฮุน เซน” ที่สร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ประชาชนอย่างหนัก
เจตนารมณ์เด่นจากมวลชน ได้แก่
-เรียกร้องให้น.ส.แพทองธารลาออก หรือยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
-ไม่ยอมรับการแทรกแซงจากผู้นำกัมพูชาในกิจการภายในของไทย
-ต้องการแสดงพลังว่า ประชาชนคือเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เครือข่ายตระกูลใด
-ปฏิเสธการใช้อำนาจส่วนตัวเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำจากผู้ชุมนุมบางส่วน ที่กล่าวในลักษณะว่า “หากแพทองธารไม่ลาออก ก็ไม่ขัดขวางอำนาจนอกระบบ” ได้ถูกนำไปใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง โดยฝ่ายรัฐบาลและเครือข่ายเพื่อไทย เพื่อกล่าวหาว่าม็อบนี้ “ไม่บริสุทธิ์” และอาจเป็นฉากหน้าให้กลุ่มอำนาจพิเศษ
ความจำเป็นที่ต้องแยก “ข้อเท็จจริง” กับ “การตีความ”
1. การตีความว่าม็อบเปิดทางรัฐประหาร คือการลดทอนความชอบธรรมของประชาชน ฝ่ายที่ต้องการปกป้องรัฐบาลมักใช้วาทกรรมว่า “ประชาธิปไตยต้องอยู่ในระบบ” แต่ลืมไปว่าประชาชนมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญที่จะชุมนุมโดยสงบเรียบร้อย และการเรียกร้องให้ผู้นำลาออกไม่ใช่การยั่วยุรัฐประหาร
2. ม็อบครั้งนี้ไม่มีพรรคหนุน ไม่มีแกนนำพิเศษ ไม่มีสีเสื้อ การรวมตัวที่หลากหลาย และไร้โครงสร้างพรรคการเมือง แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมชาติของมวลชน ซึ่งแตกต่างจากม็อบทางการเมืองในอดีตที่มีผู้อยู่เบื้องหลังชัดเจน
3. ถ้อยคำบางคนไม่ใช่ข้อเรียกร้องร่วม การนำคำพูดของแกนนำบางคน หรือคนกลุ่มเล็กๆ ไปตีความว่าทั้งม็อบสนับสนุนรัฐประหาร คือการใส่ร้ายเจตนารมณ์ของผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่ต้องการความเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธี
ความเสี่ยงของการแปะป้าย “ม็อบเปิดทางรัฐประหาร”
หากกระแสที่กล่าวหาว่าม็อบนี้เป็น “ฉากหน้าของอำนาจนอกระบบ” ขยายวงกว้าง จะก่อให้เกิดผลลบในหลายระดับไล่ตั้งแต่
-ลดความชอบธรรมของมวลชน ทำให้ประชาชนลังเลที่จะเข้าร่วม
-สร้างความแตกแยกในสังคม เพราะฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจะมองผู้ชุมนุมเป็นศัตรูประชาธิปไตย
-เปิดช่องให้รัฐใช้มาตรการรุนแรง เช่น การจับกุม ปิดกั้นสื่อ หรือสลายการชุมนุมโดยอ้างความมั่นคง
-เบี่ยงเบนประเด็นหลักจากการตรวจสอบรัฐบาล ไปสู่เกมความมั่นคง
ความชอบธรรมอยู่ที่ “เป้าหมายและวิธีการ”
หากม็อบรวมพลังแผ่นดินยืนหยัดในหลักสันติวิธี และแสดงจุดยืนชัดว่า “ไม่ต้องการอำนาจพิเศษ ไม่ต้องการรัฐประหาร” พร้อมยืนยันว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นความไว้วางใจต่อการเมืองโดยประชาชน นี่คือพลังที่แท้จริงของประชาธิปไตย
ในทางกลับกัน หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉยต่อเสียงเหล่านี้ แล้วเลือกจะ “แปะป้าย” ประชาชนให้กลายเป็นภัย ยิ่งจะตอกย้ำว่ารัฐบาลนี้กำลังเดินผิดทาง และไม่เหลือความชอบธรรมแม้แต่น้อย
ม็อบนี้จะเป็นพลังประชาชน หรือถูกกลืนเป็นข้ออ้างรัฐ?
การชุมนุมของ “รวมพลังแผ่นดิน” เป็นการเคลื่อนไหวตามสิทธิ์ที่รัฐธรรมนูญไทยรับรอง และสะท้อนความไม่พอใจต่อผู้นำประเทศที่ถูกมองว่าไร้ความชอบธรรม ไม่ใช่ม็อบเพื่อยึดอำนาจ หรือเปิดทางให้ใครขึ้นมาแทนด้วยวิธีพิเศษ
หากต้องการหลีกเลี่ยงรัฐประหาร สิ่งที่ดีที่สุดคือผู้นำต้องรู้จัก “ถอย” ก่อนที่ความไม่พอใจจะลุกลามไปถึงจุดที่ไม่มีใครควบคุมได้
#ม็อบรวมพลังแผ่นดิน #ปกป้องอธิปไตย #อย่าแปะป้ายประชาชน #รัฐประหารไม่ใช่คำตอบ #แพทองธารต้องฟังเสียงประชาชน #เพื่อไทยเสื่อมศรัทธา #ประชาชนคือเจ้าของประเทศ