การที่กองทัพ ประกาศจุดยืนยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองตึงเครียดหลังคลิปเสียง สนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จนมีการเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกหรือยุบสภา
โดยเฉพาะการประกาศจุดยืนของ “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ บิ๊กปู พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ว่า กองทัพยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย และปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องอธิปไตยชาติ
เป็นการสะท้อนได้ว่า กองทัพวางตัว นิ่งท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุ และ เป็นเสมือนการประกาศสยบกระแสการปฏิวัติรัฐประหาร มีกระแสข่าวลือและมีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
โดยถูกตีความว่าหมายถึง การให้โอกาส นางสาวแพทองธาร ในการทำหน้าที่ต่อ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังเกิดเหตุคลิปสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ถูกเผยแพร่ออกมา นางสาวแพทองธาร ได้ขอโทษ บรรดา ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ในระหว่างการเชิญ มาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมประกาศที่จะสนับสนุนกองทัพในการรักษาอธิปไตยไทยและรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเต็มที่
โดยจะเห็นได้ว่าจากนั้นเป็นต้นมา นางสาวแพทองธาร ก็ทำงานใกล้ชิดกับกองทัพมากขึ้นทั้งการประชุมฝ่ายความมั่นคงทุกวันและการลงพื้นที่ชายแดนในหลายจังหวัด ทั้งอุบลราชธานี สุรินทร์และสระแก้ว
อาจเรียกได้ว่า นางสาวแพทองธาร หลังอิงกองทัพในการที่จะไปต่อโดย อาศัยสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยและ กัมพูชาเป็นเหตุผลในการที่จะต่อสู้เพื่อไม่ให้การเมือง ไทยต้องมีจุดจบ ตามแผนของสมเด็จฮุน เซน ที่ปล่อยคลิปมา จนทำให้พรรคภูมิใจไทยต้องประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลและนำมาซึ่งการปรับคณะรัฐมนตรี โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลเดิมยังคงเหนียวแน่นอยู่
โดยมีรายงานว่าคีย์แมนที่เกี่ยวข้องกับการดีลจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว แต่ต้น ยังคงช่วยประคับประคองสถานการณ์ และเป็นข้อต่อ ให้กับกองทัพ
นอกจากนั้น ยังมีกระแสข่าวในบางสื่อ เรื่อง “ดีลฟ้าสว่าง” ที่เสมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ นางสาวแพทองธาร ได้ไปต่อ แต่ต้องแก้ไขปัญหาและเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรีและสนับสนุนกองทัพในการสู้ศึกจากภายนอกอย่างเต็มที่
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นที่จับตามองว่า นางสาวแพทองธาร จะสามารถผ่านด่าน ศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ไปได้หรือไม่ เพราะคำพูดของนายกฯ ในคลิปหลายคำพูดกระทบต่อความรู้สึกของคนไทย และกองทัพ และส่อเค้าที่จะขัดต่อหลักปฏิบัติ และคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารประเทศ ในหลายเรื่อง
เพราะคาดว่า ศาลรัฐธรรมนูญต้องรับไว้พิจารณา แต่จะวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ เพราะมีรายงานว่าหากยึดตามข้อกฎหมายและความรู้สึกของประชาชน แล้ว นายกรัฐมนตรี มีความบกพร่อง ผิดพลาด ไม่เหมาะสม และต้องโดนหยุดปฏิบัติหน้าที่ และท้ายที่สุดก็ต้องพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไป
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจมีการใช้หลักรัฐศาสตร์เข้ามาร่วมพิจารณาด้วยเนื่องจากสถานการณ์ประเทศอ่อนไหวจากทั้งปัญหาภายในและปัญหาภัยคุกคาม จากภายนอกโดยเฉพาะสถานการณ์ภัยกัมพูชา ที่ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายการเมืองต้องเข้มแข็งและมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการและสั่งการ
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็เตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือนายกรัฐมนตรี ถูกหยุดปฎิบัติหน้าที่ ก็ต้องให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ รมว. กลาโหม ทำหน้าที่รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี
ซึ่งคาดว่าในเวลานั้น นางสาวแพทองธาร อาจจะยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทัน 1 กค.
เพราะมีขั้นตอนในเรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติ อีกทั้งอาจต้องมีการดึงจังหวะเพื่อรอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ก่อนว่านายกฯ จะได้ทำงานต่อหรือไม่
แต่หาก นางสาวแพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ในช่วงที่รอการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญและหากนางสาวแพทองธาร ต้องพ้นหน้าที่ในที่สุด มีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ก็จะเสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติศิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยที่เหลืออยู่ให้สภาพิจารณาโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปแม้ร่างกายจะไม่แข็งแรง แต่ก็ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในเชิงสัญลักษณ์เพื่อยื้อเวลา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการยุบสภาออกไปก่อน
เพราะรู้กันดีว่า หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ พรรคประชาชนมีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมากและยากที่จะสกัดไม่ให้เป็นรัฐบาลได้
อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์ของนางสาวแพทองธาร ที่แม้จะเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ต้องสกัดกั้นพรรคประชาชนและต้องสู้กับกัมพูชา จึงอาจทำให้นางสาวแพทองธาร จำเป็นต้องประกาศที่จะไม่ลาออกและไม่ยุบสภา
แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกองทัพ พยายามทิ้งระยะห่างกับปัญหาการเมือง โดยปล่อยให้การเมืองแก้ปัญหากันไปตามระบบ อีกทั้งมีองค์กรอิสระต่างๆที่จะวินิจฉัย กองทัพ จึงทำหน้าที่เฉพาะในเรื่องการปกป้องอธิปไตยและการรักษาความมั่นคงของชาติ
แต่จะเห็นได้ว่าพลเอกพนา ให้ในส่วนของกองทัพบก รณรงค์ให้ประชาชนคนไทยสามัคคีในการที่จะรับมือกับภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ ที่ถูกตีความว่าอาจหมายถึง ปัญหากรณี นางสาวแพทองธาร ให้พักไว้ก่อน แต่ให้จัดการเรื่องกัมพูชาให้เสร็จสิ้นก่อน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ในการสู้ศึกจากภายนอก
นอกจากนี้ ดัชนีชี้วัดสำคัญเรื่องความสัมพันธ์ หรือสถานะระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐบาลกับกองทัพอยู่ที่ผู้ที่จะมาเป็น รมว.กลาโหมคนใหม่ ว่า เป็นที่ยอมรับของฝ่ายกองทัพหรือ จะเป็นไปตามที่กองทัพเสนอหรือไม่
เพราะรายชื่อของแคนดิเดต รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นนายทหารเก่าหลายคน ก็เชื่อมโยง กับอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ของกองทัพที่เกี่ยวข้องกับ ดีลตั้งรัฐบาล ก่อนหน้านีั
ทั้ง พล.อ.สุนัย ประภูชะเน อดีตผู้ช่วยผบ.ทบ. และอดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) และบิ๊กแก้ว พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด จาก เตรียมทหารรุ่น 21
ขณะที่ฝ่ายกองทัพ สนับสนุน “บิ๊กเล็ก” พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหมให้ทำหน้าที่ รมว.กลาโหม ได้ แต่ฝ่ายการเมืองต้องการให้เป็น รมช. กลาโหมต่อไป
เพราะมีรายงานว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่วางใจ นักที่จะให้ทหารคุมกลาโหม ในตำแหน่ง รมว.กลาโหมเลย จนมีข่าวว่าอาจจะให้พลเรือน มาเป็น รมว.กลาโหม และให้พลเอกณัฐพลเป็น รมช.กลาโหมตามเดิม
จนทำให้มีชื่อของ นางสาวแพทองธาร ควบเก้าอี้ รมว. กลาโหม แต่ฝ่ายทหารไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก ประกอบกับตัวนางสาวแพทองธาร ก็ไม่ต้องการที่จะควบ กลาโหม ดังนั้นจึงได้ให้สัมภาษณ์สื่อไปแล้วว่าจะไม่ควบ รมว. กลาโหมแน่นอน
ทั้งนี้ฝ่ายกองทัพเองก็รู้ดีว่าสถานการณ์การเมืองเช่นนี้มี ศึกใน มี ความขัดแย้งในหลายมิติและหลายกลุ่ม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้กลายเป็นฝ่ายค้านไปแล้ว เท่ากับพรรคเพื่อไทยของ นายทักษิณและนายอนุทิน ชาญวีรกุล และนายเนวิน ชิดชอบ ยืนฝั่งตรงข้ามกันชัดเจนแล้ว รวมทั้งบุคคล ที่สนับสนุน ที่ไม่ธรรมดา ของพรรคภูมิใจไทยด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแผนต่างๆของนายทักษิณหรือพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่จะสำเร็จง่ายๆ