ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ชีวิตไทยเป็นชีวิตที่ต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว จนมาถึงวันหนึ่งจึงรู้ว่าสิ่งนั้นคือ “ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์”
เมื่อตอนที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาทำหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2493 โดยเพื่อนเก่าอย่างคุณสละ ลิขิตกุล มาชวน ซึ่งในตอนนั้นท่านยังอยู่ในสมณเพศ แต่ท่านก็ตอบตกลงในทันที เพียงคิดขึ้นชั่ววูบว่า “คงจะมีอะไรสนุก ๆ ทำ” ซึ่งคุณสละได้อธิบายเรื่องนี้ว่า ตอนนั้นท่านคงเบื่อการเมืองมาก ดังจะเห็นได้ว่าพอมาทำหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ท่านก็เขียนคอลัมน์วิจารณ์รัฐบาลและ “ท่านผู้นำ” จอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่างเผ็ดร้อน แม้ว่าส่วนมากจะเขียนด้วยอารมณ์ขัน แต่ก็เป็นการเสียดสีที่ถูกใจผู้อ่าน มีคนเขียนจดหมายและโทรศัพท์เข้ามาชื่นชมท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อย่างมากมายในทุก ๆ วัน บางวันก็ยกขบวนมาเชียร์กันที่หน้าโรงพิมพ์เหมือนว่ามีม็อบเล็ก ๆ ซึ่งก็ยิ่งทำให้ท่านอาจารย์ “สนุกสนาน” ยิ่งขึ้น
คุณสมบัติ ภู่กาญจน์ ลูกศิษย์คนสนิทของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ซึ่งเป็นโขนธรรมศาสตร์รุ่นแรกใน พ.ศ. 2509 ในบททศกัณฐ์ ต่อมาได้มาทำงานเป็นคอลัมนิสต์และบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์สยามรัฐอย่างยาวนานอยู่ช่วงหนึ่ง ได้เขียนถึงการทำหนังสือพิมพ์ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในยุคนั้นว่า ในปี 2494 เกิดกบฏแมนฮัตตัน โดยทหารเรือได้จับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ไปเป็นประธานรับมอบเรือหลวงศรีอยุธยา แต่จอมพล ป.ได้กระโดดลงเรือหนีออกมาได้ จากนั้นก็สั่งให้ทำการปราบปรามพวกกบฏ ด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดจนเรือจมลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา การก่อกบฏครั้งนั้นคงทำให้จอมพล ป.แค้นมาก ถึงขั้นให้มีการจัดการกับศัตรูอย่างเด็ดขาด ซึ่งรัฐบาลก็มองหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่เขียนข่าวโจมตีรัฐบาลนั้นเป็นศัตรูไปด้วย
รัฐบาลได้ให้ตำรวจสันติบาล “เซนเซอร์” หนังสือพิมพ์อย่างเข้มงวด บางฉบับที่ไม่เชื่อฟังก็ถูก “ล่ามโซ่” แท่นพิมพ์ คือสั่งให้หยุดการพิมพ์จำหน่าย ส่วนหนังสือพิมพ์สยามรัฐก็ถูกตักเตือนด้วย โดยที่ท่านผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์สยามรัฐคือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็มองว่านี่คือการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชนที่ร้ายแรงมาก แต่แทนที่ท่านจะเขียนข่าวเอาใจรัฐบาล ท่านก็ให้นักข่าวและบรรณาธิการนำเสนอข่าวในรูปแบบใหม่ ที่ผู้อ่านก็ถึงกลับงวยงง แต่ที่งงมากกว่าน่าจะเป็นตำรวจสันติบาลที่ตรวจข่าว รวมถึงรัฐบาลที่ไม่รู้ว่าหนังสือพิมพ์สยามรัฐจะเอายังไง นั่นก็คือการเสนอข่าวแบบ “เฮฮา” ด้วยความขบขันและเสียดสี
รัฐบาลสั่งเซนเซอร์หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันที่ 5 กรกฎาคม 2494 โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เขียนบทบรรณาธิการในวันนั้น พอขึ้นต้นไปสัก 2 ย่อหน้าที่เขียนถึงเรื่องที่ว่ารัฐบาลได้เริ่มเซนเซอร์หนังสือพิมพ์แล้ว ข้อความส่วนที่เหลือที่หายไป เหลือแต่ช่องว่างในคอลัมน์เป็นสีขาว รวมถึงคอลัมน์อื่น ๆ หลายคอลัมน์ก็มีแต่ผืนกระดาษที่ว่างเปล่านั้น ดังนั้นพอถึงฉบับต่อมาในวันรุ่งขึ้น 6 กรกฎาคม 2494 หนังสือพิมพ์สยามรัฐก็ “เล่นข่าว” ต่าง ๆ ดังนี้
“ต้นหมากหลังโรงพิมพ์สยามรัฐมี 13 ต้น”
“ต้นมะขามมีหวังเป็นเขียงปีหน้าแน่นอน”
“ฝูงมดง่ามขึ้นไปคาบเด็ก 2 ขวบ บนบ้าน”
“ข้าราชการทุกคนที่ลาบวชปีนี้ ต้องโกนหัว”
หรือฉบับอื่น ๆ ในวันต่อมา ก็ยังพาดหัว โปรยหัว และเล่นข่าวอย่างสนุกสนาน
“คึกฤทธิ์ไปสำรวจปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทะเลหัวหิน ว่าจะไปล่าปูลมเพื่อความเพลิดเพลิน”
“นกกระจอกยกพวกตีกัน สันนิษฐานว่าเรื่องผัวเมีย”
รวมถึงที่วันหนึ่งตั้งใจจะเสียดสีเจ้าหน้าที่ที่ชอบมารบกวนคนทำหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการในยุคนั้นมาเล่าให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ฟังว่า ที่สยามรัฐพาดหัวว่า “เหี้ยขึ้นบ้านบรรณาธิการ” นั้นเกิดเรื่องใหญ่มาก ๆ ขึ้นแล้วจริง ๆ คือพอดีวันนั้นภรรยาของบรรณาธิการที่เลิกกันไปแล้ว ได้มาที่บ้านของบรรณาธิการท่านนี้พอดี พอได้เห็นพาดหัวนี้ก็ร้องไห้วิ่งลงไปจากเรือนเลย (ฮาๆ)
ดังที่ทราบว่าหนังสือพิมพ์สยามรัฐใน พ.ศ. นั้นกำลังลงเรื่อง “สี่แผ่นดิน” มาอย่างต่อเนื่อง และผู้คนก็ติดกันงอมแงม ถึงขั้นที่กินไม่ได้นอนไม่หลับถ้าไม่ได้อ่านเรื่องสี่แผ่นดิน พอมีการเซนเซอร์หนังสือพิมพ์ขึ้น แม้แต่เรื่องแนวนวนิยายอย่างสี่แผ่นดิน ทำให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่มีอารมณ์จะเขียน ดังนั้นในช่วงนั้นสี่แผ่นดินก็ไม่ได้ลงพิมพ์อยู่เป็นเดือน คนคงด่าทอรัฐบาลมาก รวมทั้งที่ส่งตำรวจมาสอบถามว่าทำไมถึงพาดหัวและเขียนข่าวไปในแนวนั้น และบอกให้สยามรัฐไม่ทำเช่นนั้นอีก แต่สยามรัฐก็ยังเล่นข่าวในแนวนั้นมาอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไปเดือนเศษ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2494 รัฐบาลก็ยกเลิกการเซนเซอร์หนังสือพิมพ์ ซึ่งเรื่องนี้เป็น “วีรกรรม” ในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ภูมิใจมาก ในฐานะที่ท่านได้ใช้ “ปลายปากกา” เอาชนะเผด็จการมาได้ อย่างน้อยก็ทำให้ผู้คนไม่กลัวเผด็จการและได้ร่วมกันปกป้องสิทธิและเสรีภาพในเรื่องต่าง ๆ อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ย้อนกลับไปพูดถึงนวนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน” อีกสักนิด เพราะยังไม่ได้พูดถึง “ผลกระทบในทางลึก” ที่เปิดเผยความจริงที่สำคัญของสังคมไทย นั่นก็คือ “ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์” ที่สะท้อนผ่านวรรณกรรมเรื่องนี้
ใน พ.ศ. 2498 สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้มีการให้รางวัลแก่ผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านศิลปะและวัฒนธรรมเป็นที่ยอดเยี่ยมของประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่ารางวัล “ศิลปินแห่งชาติ” โดยได้กราบถวายบังคมทูลเกล้าฯถวายพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นที่ “อัครศิลปิน” และมี “ศิลปินแห่งชาติ” ชุดแรก 4 ท่าน คือ ท่านอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ สาขาจิตรกรรม ท่านอาจารย์มนตรี ตราโมช สาขาดนตรีไทย ท่านอาจารย์หม่อมแผ่ว สนิทวงศ์ สาขานาฎศิลป์ และท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สาขาวรรณศิลป์
ในคำประกาศเกียรติคุณของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้กล่าวถึงผลงานด้านวรรณกรรมของท่านว่ามีคุณค่าอย่างโดดเด่นอยู่หลายเรื่อง อย่างเช่นนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน ก็คือเรื่องของคนไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ในปีนั้นก็ได้มีการจัดเวทีทางวิชาการเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและเผยแพร่เกียรติคุณให้แก่ศิลปินแห่งชาติทุกท่าน ซึ่งในกรณีของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็มีหลายหน่วยงานจัดให้ อย่างเช่นที่จัดโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ผู้เขียนได้ติดตามไปฟัง ในฐานะที่ตอนนั้นได้ทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่าน จึงค่อนข้างจะจดจำได้อย่างแม่นยำว่า ท่านและนักวิชาการต่าง ๆ ได้พูดถึงเรื่องสี่แผ่นดินนี้อย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เริ่มต้นปาฐกถาของท่านว่า คนไทยกับพระมหากษัตริย์นั้นมีชีวิตเป็น “เนื้อเดียวกัน” ที่คนไทยเริ่มรู้สึกเช่นนี้มาตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระปิยมหาราช สืบเนื่องมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยถ้าใครที่ได้อ่านสี่แผ่นดิน ที่มีแม่พลอยเป็นผู้เล่าเรื่อง จะเห็นว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนนั้นแม่พลอยยังเป็นเด็ก และเมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตแม่พลอยก็เพิ่งแต่งงาน เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 6 และ 7 ที่แม่พลอยมีลูกและเป็นผู้มีอาวุโสขึ้นโดยลำดับ แม่พลอยยังมองพระเจ้าอยู่หัวเป็น “ของสูง” ที่ต้องเทิดทูนไว้เหนือหัวอย่างมั่นคงเสมอมา แต่เมื่อขึ้นรัชกาลที่ 8 ที่แม่พลอยเริ่มเป็นผู้สูงอายุ และเริ่มมองพระเจ้าอยู่หัวเป็นเหมือน “ลูกหลาน” ด้วยความสงสารที่พระมหากษัตริย์พระองค์น้อย (ตอนนั้นรัชกาลที่ 8 มีพระชนมพรรษาเพียง 12 พรรษา) จะต้องมารับราชภาระของผู้ใหญ่อันหนักอึ้ง และยิ่งบ้านเมืองในรัชสมัยนั้นก็วุ่นวาย แม่พลอยก็ยิ่งเป็นห่วงอย่างล้นพ้น แม่พลอยแม้จะไม่ได้ใกล้ชิด “เบื้องพระยุคลบาท” แต่ก็ติดตามเฝ้าชมพระบารมีไปทุกที่ที่มีโอกาส อย่างเช่นคราวที่เสด็จนิวัติพระนครในครั้งหลัง แม่พลอยก็ได้ไปรอรับเสด็จบนทางที่เสด็จพระราชดำเนินนั้นอย่างใกล้ชิด ด้วยความรู้สึก “อิ่มสุข” จนล้นหัวใจ จนเมื่อแม่ช้อยมาเยี่ยมแม่พลอยในตอนสาย ๆ ของวันที่ 9 มิถุนายน 2490 แล้วบอกว่า “พระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียแล้ว” แม่พลอยก็ถึงกับช็อก และในบ่ายวันนั้นเมื่อแม่ช้อยกลับไปแล้ว แม่พลอยก็พยุงตัวมาเอนลงที่ศาลาริมน้ำหลังบ้าน และสิ้นไปอย่างสงบในวันนั้น
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า อาการของแม่พลอยอาจจะดู “รุนแรง” ไปบ้าง แต่นั่นก็คือความรู้สึกจริง ๆ ของคนไทยจำนวนมากในยุคนั้น ที่เป็นเพราะความเป็น “เนื้อเดียวกัน” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
คือความรู้สึกที่ “รักและหวงแหน” พระเจ้าอยู่หัวเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อและชีวิต