ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“คนเราทุกคนจำเป็นต้องมี หลักคิดแห่งชีวิตที่สูงค่า..เพื่อที่จะได้ใช้เป็นเครื่องค้ำยันและโอบประคองตัวตนของตนเองไปได้โดยตลอต..นั่นคือปราถนาแห่งจิตวิญญาณ ที่จะเสริมส่ง ...กระทั่งสามารถก่อเกิดเป็นหลักการ ที่จะนำพาให้เราไปสู่พื้นที่ชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านภาวะแห่ง “ความเอื้อเฟื้อ” อันเป็นดั่งพลังกรุณาอันมีค่า ต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งต่อตนเองและโลกกว้าง..จนบรรลุสู่สำนึกรับรู้สู่แห่งความดีงาม อันยากจะเปลี่ยนแปร..”
“มนุษย์ทุกคนต่างตัดสินใจว่า จะเดินไปในแสงสว่างของความเชื่อถืออันสร้างสรรค์..หรือไม่ก็เป็นความมืดแห่งความเห็นแก่ตัว ..อันทำลายล้าง.เสมอ!.”
..ปฐมบทแห่งความคิดเบื้องต้น..คือรากฐานทางความคิดจากหนังสืออันเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อโลกและชีวิตทุกๆชีวิต..เป็นสายธารสว่างใสทางปัญญาญาณ..ในนามของ..
“ความเอื้อเฟื้อ” พลังกรุณาต่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง และ โลก..(Plaidoyer L' Altruism/..Altruism: The Power of Compassion to Change Yourself and The World)..งานเขียนสร้างสรรค์โดย “มาติเยอ ริการ์” (Matthieu Ricard) พระภิกษุชาวฝรั่งเศส นักเขียน นักพูด ที่มีชื่อเสียงทางด้าน ความเมตตาและจิตวิญญาณ..ผู้เขียนหนังสืออันโด่งดังและมีชื่อเสียงระดับโลกโลก"ความสุข"(Happiness)..ที่มีผลต่อชีวิตของผู้คนที่ได้อ่านอย่างมากหลาย..
..ท่านได้ให้เหตุผลที่ลึกซึ้งถึงความจำเป็นที่จักต้องห่วงใย “..สวัสดิภาพของผู้อื่น”
..โดยท่านได้นำเสนอ ภาพแสดง..ที่เกิดจากประสบการณ์ตรงในหลายสิบปีอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างครอบคลุม..โดยท่านได้ระบุและกล่าวอ้างว่า"ความเอื้อเฟื้อ"เป็นหลักการจำเป็นอย่างไร ในการตอบปัญหา หลักๆในยุคสมัยของเรา ทั้งในเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ความพึงพอใจในชีวิต..ตลอดจน ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม..!
..สารอันเป็นสากลของท่านฝนสะท้อนออกมาจากนักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ผู้นำศาสนา ผู้ประกอบการสังคม..!
..ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ท่านได้ย้ำความหนักแน่น เหตุผลที่จักต้องไปลูกฝัง ความรัก ความไม่เห็นแก่ตัว ตลอดจนความกรุณา..ในฐานะที่เป็นสายทางที่ดีที่สุด ที่จะก่อประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และ สังคมโลกไปพร้อมกัน..
..เหตุนี้ “ความเอื้อเฟื้อ” ..นี้จึงสามารเป็นหลักการที่นำเราทุกคน..ไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น..
..และเป็นสิ่งที่ดี ที่นับเป็นมิติหนึ่งในธรรมชาติของเรา..ที่ทุกคนสามารถขัดเกลาได้..โดยท่านได้เผยถึงวิธีการที่ปฏิบัติได้จริง..และเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้อ่านและผู้สัมผัสทุกคน เปิดเผยให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อ ว่าจำเป็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลง ตนเอง สังคม การศึกษา เศรษฐกิจ และ การเมือง..
“การปฏิวัติ “ความเอื้อเฟื้อ” กำลังดำเนินอยู่ และมันอาจเป็นสิ่งหนึ่ง..ที่คาดหวังกันว่า..จะเป็นสิ่งที่สามาถเชิดหน้าตาชูตาศตวรรษที่ 21..!”
.. “ความเอื้อเฟื้อ” แบ่งบทตอนออกเป็น 5 บทตอนโดยสังเขป..ทุกๆบทตอนเน้นย้ำถึงคุณค่าให้ต้องขบคิด กระทั่งสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตได้.. “ความเอื้อเฟื้อคืออะไร?”..นั่นคือคำถามสู่คำตอบที่ว่า มันเริ่มต้นจากธรรมชาติ ความเอื้อเฟื้อเริ่มต้นขึ้นจากความเป็นธรรมชาติสู่การแผ่ขยายเนื้อในอันเป็นคุณประโยชน์ของความเอื้อเฟื้อนี้ให้ขยายออกไปจากชีวิตสู่ชีวิต..ผ่านการการอธิบายความถึงว่า..ความเห็นอกเห็นใจที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันต่อความเอื้อเฟื้อนั้นคืออะไร?..ผ่านข้ามจากความหมายของความเห็นอกเห็นใจสู่ความกรุณา ..กระทั่งสามารถเข้าใจได้ว่า..ความรักที่เกิดจากความเอื้อเฟื้อจากใจของคนเรานั้น เป็นอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่บังเกิดขึ้นอย่างไร้เงื่อนไขในตัวตนของมนุษย์เราทุุกคน..!
..ประเด็นถัดมาคือ..การพูดถึง “การอุบัติของความเอื้อเฟื้อ” ..ซึ่งก็มีลำดับการณ์ว่า.. “ความเอื้อเฟื้อมีวิวัฒนาการแห่งชีวิตเป็นเครื่องกำหนด โดยมีความรักของแม่เป็นรากฐานแห่งความเอื้อเฟื้ออันแผ่กว้าง..ผ่านทั้งวิวัฒนาการทางด้านวัฒนธรรม ตลอดจนพฤติกรรมความเอื้อเฟื้อ ที่มีอยู่ทั้งในตัวตนของเด็ก หรือสัตว์..องค์ความรู้ทั้งหมดนี้..จะเสริมสร้างสังคมในวิถีที่ทั้งแปลกต่างและเป็นเอกภาพ..ในที่สุด ..!
เหตุนี้ ..การบ่มเพาะความเอื้อเฟื้อจึงเป็นเด็นสำคัญที่น่าศึกษา..นับแต่คำถามสำคัญที่มีต่อชีวิต “เราเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?” ..ได้ด้วยวิธีการใด..ไม่ว่าจะเป็นการฝึกจิต...การศึกษาวิทยาศาสตร์ในเชิงพุทธิปัญญา ทั้งหมดนั้นจะตอบสนองปริศนาต่อชีวิตของเราอย่างไร?..
..ครั้นเมือหันไปมอง “อิทธิพลตรงกันข้าม” เราก็จะประจักษ์ในภาพฉายของ “ความเอื้อเฟื้อ” ว่า ..มันจะต้องเข้าใจถึงการตั้งอยู่..ของการนับถือตนเองเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งขบวนการตกผลึกของตัวตนไปจนเข้าใจ การแพร่ขยายของแนวคิดในลักษณะ ปัจเจกนิยม ตลอดจนการหลงตัวเอง ซึ่งจะทำให้กลายเป็นภาวะ"สุดยอดแห่งความเห็นแก่ตัว..หรือกลายเป็นคนเกลียดชังตนเอง หรืออาจจะถึงขนาดรักตัวเองอย่างถึงที่สุด ..
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้..มีโอกาสที่จะนำชีวิตไปสู่การขาดความเห็นอกเห็นใจ..ซึ่งก็ถือเป็นจุดกำเนิดของความรุนแรง รวมทั้งเกิดการด้อยค่าต่อผู้อื่น..เหตุนี้..ภาวะในเชิงแห่งลักษณะสงครามจึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา..ความเห็นแก่ตัวเชิงสถาบันจึงคราคร่ำไปทั่ว..และชวนสะอิดสะเอียนไปหมด..!
*สุดท้าย..โลกของเราจึงสมควรที่จะต้องสร้าง..สังคมที่มีน้ำใจ ..มีการเสียสละให้มากขึ้น..ผ่านคุณธรรมของความร่วมมือ..ผ่านการศึกษาเพื่อเรียนรู้และรับรู้ในทุกสิ่ง..ผ่านการศึกษาและการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเบิกบาน..รวมทั้งความกลมกลืนที่ยังนับเป็นพันธะผูกพันอันถาวร..ในความรับผิดชอบ..ต่อโลกแท้จริง ...!
“อาริอันนา ฮัฟฟิงตัน” (Arianna Huffington)ผู้เขียนหนังสือ “ความเจริญเติบโต” (Thrive).. ได้แสดงทัศนะต่อหนังสือเล่มนี้อย่างน่ารับฟังว่า.. “มันคือการรวมความรู้โบราณให้เข้ากับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำๅเสนอวิสัยทัศน์ระดับโลกที่น่าเชื่อถือ..สำหรับศตวรรษที่ 21 ข้ามผ่านความว้าวุ่นใจอันไม่สิ้นสุด ..และได้ตั้งคำถามสำคัญว่า.. “อะไรคือชีวิตที่ดี” ..ในตอนที่พวกเราส่วนใหญ่ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคล..และสังคมได้ละทิ้งคำถามกันไปแล้ว..!
*ด้วยความเป็นจริง.. “ความเอื้อเฟื้อ มักถูกนำเสนอว่าเป็นคุณค่า..ทางด้านศีลธรรมที่สูงที่สุดในสังคมทั้งของ นักบวชและฆราวาส..แต่มันแทบไม่มีพื้นที่อยู่ในโลกที่ถูกครอบงำ โดยสิ้นเชิง..
*ทั้งด้วยการแข่งขันและด้วยความเป็นปัจเจกนิยม..ด้วยเหตุนี้ ..คนบางคนจึงถึงขนาดลุกขึ้นมาต่อต้านจริยธรรมแห่งความเอื้อเฟื้อนี้เสียด้วยซ้ำ..
..พวกที่ต่อต้านเหล่านั้นต่างมองว่า..ความเอื้อเฟื้อเป็นเพียงการเรียกร้องให้เสียสละ..และพวกเขาต่างก็พากันสนับสนุนความเห็นแก่ตัว..!
แต่..จริงไปแล้ว..ในโลกร่วมสมัย.. “ความเอื้อเฟื้อ” มีความจำเป็นมากกว่าที่เคยเป็นมา..มันถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนด้วยซ้ำ..อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงความมีเหตุผลของมนุษย์ อย่างเป็นธรรมชาติ..! ซึ่งเราทุกคนล้วนมีธรรมชาติที่จะพัฒนาได้..ทั้งๆที่แรงจูงใจมากมายซึ่งมักจะเป็นความเห็นแก่ตัว..ได้ผ่านเข้ามาในจิตใจ และบางครั้งก็ครอบงำเรา...!
กล่าว..โดยสรุป.. “อะไรคือประโยชน์ของความเอื้อเฟื้อกันแน่?..ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ๆ..” โดยถ้าหากพวกเรา..แต่ละคนได้บ่มเพาะความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อให้มากขึ้น คำนึงถึงการอยู่ดีมีสุขของผู้อื่นมากขึ้น ..เช่นไม่เก็งกำไรสินค้าประเภทอาหารที่จำเป็นต่อผู้ที่ยากจนที่สุด..รวมทั้งถ้าผู้มีอำนาจตัดสินใจปฏิบัติงานทางสังคม โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่รอบข้างมากขึ้น และ หากเราแสดงท่าทีชัดเจนว่า ห่วงใยผู้อื่นมากขึ้น..เราทุกคนจะปฏิบัติตัว โดยมีเจตนาแก้ไขความไม่เป็นธรรม การเลือกปฏิบัติ และความยากจน
..ทั้งหมดจะส่งผลให้เราได้ทบทวนการปฏิบัติต่อสัตว์..ที่เราลดฐานะของพวกเขาเป็นเพียง เครื่องมือเครื่องใช้..เราแสดงว่าชีวิตของเราเหนือกว่าพวกเขาอย่างมืดบอด กระทั่งเปลี่ยนสถานะของพวกเขาไปเป็นเพียง.. "ผลิตผลทางการบริโภค"ในที่สุด..! นี่คือที่หนังสือที่เต็มเปี่ยมไปด้วย..ทักษะแห่งการดูแลชีวิตอย่างเข้าใจและอบอุ่น..เป็นสาระสำคัญที่จะนำเราให้ได้พบกับความสุขด้วยความรู้สึกแห่งใจที่แท้ ผ่านปราชญาของโลกกว้างและสังคมสมัยใหม่ที่เราดำรงชีวิตอยู่อย่างรู้เท่าทันและเป็นมิตร...
จากภาพลักษณ์ของหนังสือเล่มใหญ่ ที่ประกอบสร้างขึ้นด้วยทักษะชีวิตอันทรงคุณต่อแบบเรียนแห่งนัยชีวิตมากมาย..มันจึ่งคือพลังที่เกิดแก่ความกรุณาต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองและโลกแห่งชีวิตได้..อย่างล้ำค่า..เป็นแสงฉายแห่งบทสะท้อนของ"ความเอื้อเฟื้อ"ที่ทอประกายแห่งความโอบประคองชีวิต..เหนือความกรุณาใดๆ ..นิรันดร์..!
“กรรณิการ์ พรมเสาร์” นักแปลผู้เปี่ยมประสบการณ์ ร่วมกับ “อรุณเริ่ม กิตติรัตน์ชัย” ..แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาทั้งด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้ง และ ด้วยความเป็นศิลปธรรมที่ละเมียดละไม..โดยมีนักแปล กวีผู้อาวุโส "พจนา จันทรสันติ" เป็นบรรณาธิการ
..ความถึงพร้อมในความเข้าใจของหนังสือเล่มนี้จึงสมบูรณ์ในการเกี่ยวร้อย..สรรพสาระเข้าไว้ด้วยกันอย่างเนียนแนบ..ลึกซึ้ง งดงาม และเต็มไปความหมายแห่งชีวิตต่อชีวิตระคนกัน..ทั้งภายนอกและภายใน..ดั่งนั้น! “ไม่ม่สิ่งใดจะทรงพลัง..ไปกว่าแนวคิด..ที่ถึงเวลาอันเหมาะสมของมัน.!!!.”