ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ/ทหารประชาธิปไตย
เมื่อทรัมป์ประกาศโครงการโดมทองที่จะปกป้องสหรัฐฯ ทั้งประเทศ และอาจรวมแคนาดา (อ้างว่าเขาร้องขอ) โดยโครงการนี้เป็นโครงการที่จะใช้ระบบขีปนาวุธและเครือข่ายต่างๆของระบบป้องกันและระบบตรวจสอบสื่อสารอย่างเรดาห์ หรือดาวเทียม ซึ่งจะเป็นการปกป้องหลายชั้นที่เชื่อถือได้ งานนี้บริษัท Lockheed Martin มีโอกาสทำเงินได้หลายพันล้าน จึงได้ออกมาให้ข้อมูลว่า “เป็นโครงการที่จะสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงให้กับประเทศของเรา”
อีกบริษัทที่คาดหวังว่าจะมีส่วนแบ่งในโครงการมูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คือ Space x ของอีลอนมัสก์
ทรัมป์ประกาศว่างานนี้มีงบพอเพียงที่จะจัดสรรค์ให้กับบริษัทผลิตอาวุธและระบบป้องกันต่างๆ โดยปีหน้าได้จัดสรรงบไว้แล้ว 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯและจัดงบสนับสนุนในช่วง 20 ปี แต่มัสก์ประเมินว่าคงไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านในช่วง 20 ปีของโครงการ
ประเด็นสำคัญคือเครือข่ายของโครงการภายใต้โดมทองนี้จะสามารถปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้อเมริกาได้จริงหรือ คำตอบจากนักวิเคราะห์ คือ คงจะสามารถคุ้มครองได้เพียงบางส่วน ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ หนึ่งในบริบทของขีปนาวุธ ระบบป้องกันมักตามหลังระบบโจมตีที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีนี้ รวมทั้งการพัฒนาโดรนที่จะเข้าโจมตีเป็นฝูงใหญ่ควบคู่กับห่าฝนของขีปนาวุธ ที่มีการพัฒนาความเร็วเหนือเสียงนับสิบเท่า และยังแยกหัวรบได้อีกหลายหัวรบ นอกจากนั้นยังพัฒนาระบบที่สามารถบังคับตนเองได้ด้วย AI และปรับเปลี่ยนทิศทางได้ จึงปลอดภัยจากการใช้วิธีการก่อกวนด้วยระบบอิเลคโทนิกส์หรือหลบหลีกขีปนาวุธต่อต้าน
ประการที่ 2 คือ ต้นทุนของขีปนาวุธป้องกันกับขีปนาวุธโจมตีในสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่มันต่างกัน คือ ระบบป้องกันแพงกว่าเท่าตัวจึงไม่ใช่วิธีการ Cost Effective
นอกจากนี้ยังมีข้อพิจารณาว่าระบบนี้มีความไม่ชัดเจนว่าเป้าหมายหลัก คือ การป้องกันภัยคุกคามจากประเทศที่เล็กกว่า และมีขอบเขตความสามารถในการมีอาวุธนิวเคลียร์ และขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งไม่น่าจะมีความสลับซับซ้อน ในขณะที่ภัยคุกคามจากประเทศใหญ่อย่างรัสเซีย หรือ จีนนั้นมีความสลับซับซ้อนกว่านั้น ทั้งทางการทูต การร่วมมือ ตามสนธิสัญญา หรือการตรวจสอบกันรวมทั้งการข่าว
แต่โครงการดังกล่าวอาจไปกระตุ้นให้ประเทศเหล่านั้นต้องขยายงบประมาณ หรือ พัฒนาการในระบบโจมตีและป้องกันมากขึ้น อันก่อให้เกิดความตึงเครียดในการเผชิญหน้า
ที่สำคัญในระหว่างประเทศมหาอำนาจ คือ การตระหนักว่าการโจมตีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่สามารถทำได้ในหมัดเดียว จะต้องถูกโจมตีตอบโต้ที่รุนแรงพอกัน จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าจะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ
แม้รัสเซียจะมิได้วิจารณ์โครงการนี้อย่างรุนแรง แต่จีนได้วิพากษ์ว่าโครงการนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการทำให้อวกาศกลายเป็นสนามรบ ซึ่งเป็นอันตรายต่อโลกอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังนำไปสู่การแข่งขันในการพัฒนาอาวุธทำลายล้างอย่างกว้างขวางขึ้น
ส่วนด้าน Elon Musk แม้จะออกมาปฏิเสธว่า Space x มิได้เป็นผู้นำในการประมูลโครงการนี้ แต่การขัดแย้งกับ Trump ในเรื่องงบประมาณ Big Beautiful Bill ที่มีจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นข้อกังวลในการก่อหนี้สาธารณะที่เกินกำลังของสหรัฐฯ ก็ทำให้โครงการนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ทั้งนี้กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเดโมแครต 42 คน ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบบทบาทของ Musk ในกระบวนการประมูลโครงการนี้
นอกจากปัญหาเรื่องงบบานปลาย และผลสัมฤทธิ์ที่ทางเพนตากอนประเมินไว้ยังดูคลุมเครือ และไม่อาจตอบโจทย์ของการพัฒนาระบบขีปนาวุธ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ยังมีความท้าทาย ความยากในช่วง 20 ปี โดยเฉพาะการเชื่อมโยงโครงการขนาดใหญ่แบบนี้กับระบบต่างๆ นับร้อยระบบ ที่ยากต่อการผสมผสานให้สอดรับในช่วงเวลาที่จำกัด
อนึ่งหากสหรัฐฯจะเน้นการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจทางนิวเคลียร์ การลงทุนในโครงการโดมทองก็ยิ่งมองได้ว่าไม่คุ้มค่าในการลงทุน อันเป็นภาระหนักต่องบประมาณ ยกเว้นว่าจะเป็นการแบ่งปันเงินงบประมาณให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาวุธ
ตัวอย่างต้นทุนที่เปรียบเทียบระหว่าง Iron Dome กับ Golden Dome เช่น ขีปนาวุธสกัดกั้น Tamir ของ Iron Dome มีราคา40,00ดอลล่าร์าสหรัฐฯส่วนGolden Domeมีแผนจะใช้ขีปนาวุธสกัดกั้น Amraam ที่ใช้ในระบบ Nasams นั้นมีราคาอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อลูก
ดังนั้นหากไปเปรียบเทียบกับขีปนาวุธราคาย่อมเยาของเกาหลีเหนือ หรือของอิหร่าน มันยิ่งแสดงถึงความไม่คุ้มค่าในการป้องกันที่เรียกว่า Cost Effective เลย เพราะแม้แต่ Iron Dome ในสงคราม 12 วัน นี้ก็ยังพิสูจน์ให้เห็นโดยชัดเจนว่าต้นทุนมันต่างกันมากระหว่างฝ่ายโจมตีกับฝ่ายถูกโจมตี โดยเฉพาะในระบบป้องกันหลายชั้น ยิ่งต้องใช้ขีปนาวุธมากกว่าอย่างน้อย 1 ต่อ 3
อนึ่งรูปแบบสงครามในปัจจุบันได้พัฒนาไปสู่การสู้รบแบบผสมผสาน (Hybrids) และปรากฏว่ามีการทำสงครามไซเบอร์ที่มีการพัฒนาไปอย่างมาก
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ระบบ Golden Dome หรือโดมทองนี้จะถูกโจมตีทางไซเบอร์ต่อข้อต่อของระบบต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันในโครงการ และจะทำให้ทั้งระบบต้องเกิดการปรวนแปรได้อย่างมาก
แม้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนทั้งหมดจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ฝ่ายโจมตีก็มีความเป็นไปได้ที่จะหาช่องทางโจมตีจุดอ่อนเหล่านั้นได้
กล่าวโดยสรุปโครงการโดมทอง (Golden Dome) จัดเป็นโครงการที่ทะเยอทะยานและครอบคลุมอาณาเขตที่กว้างขวาง แต่ไม่มีประสบการณ์ที่ใช้งานจริง และยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีบางตัวที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา โดยยังไม่แน่นอนว่าจะ Intigrated เข้ากันได้กับระบบอื่นๆที่มีอยู่ ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการใช้งาน
นอกจากนี้โครงการนี้ยังอาจไม่สอดรับสถานการณ์จริงในอนาคต 20 ปีอีกด้วย