สายงานวิชาการและสายงานวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ "เทคนิคการใช้ AI เพื่องานวิจัยทางวิชาการ" เพื่อให้ผู้เข้าฝึกอบรมมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องปัญญาประดิษฐ์สำหรับการวิจัยเชิงวิชาการ เพื่อฝึกทักษะในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ประยุกต์เข้ากับการวิจัยสมัยใหม่ และเพื่อเสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์สำหรับการวิจัยเชิงวิชาการ และแนวทางการต่อยอดในการวิจัยในสาขาวิชาต่าง ๆ
โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการและสายงานวิจัยและพัฒนา เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมกล่าวถึงบทบาทความสำคัญของ AI ในการยกระดับคุณภาพงานวิจัยและการเรียนการสอนให้เท่าทันยุคเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเน้นว่า AI ไม่ได้เพียงช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบุคลากรทางวิชาการในระดับสากล โดยต้องรู้วิธีการใช้ AI เป็นผู้ช่วยนักวิจัยอย่างมีจริยธรรม จึงได้จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาทักษะการทำวิจัยของบุคลากรด้วย AI ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5–6 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ณ ห้องเรียน Intelligent Hybrid Classroom อาคาร 2 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
โครงการนี้มีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์จากทั้งสายสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสุขภาพ และสายมนุษยศาสตร์ เข้าร่วมการอบรม โดยมี ดร.สุขยืน เทพทอง นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์และเทคนิคการประยุกต์ใช้ AI สำหรับช่วยทำวิจัยพร้อมการฝึกปฏิบัติการ
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ลีลา เตี้ยงสูงเนิน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย พัฒนา และนวัตกรรม (RDI) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ประโยชน์ที่สำคัญของโครงการนี้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการวิจัยโดยการใช้ AI ต่างๆ ช่วยในการค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผลการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำงานวิจัยได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นในหลากหลายสาขา เช่น การบริหารธุรกิจ การบัญชี วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์สุขภาพ การศึกษา ตลอดจนช่วยพัฒนาทักษะที่เป็นประโยชน์ในอนาคต ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้นักวิจัย ด้วยการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม
ในช่วงต้นของการอบรม ดร.สุขยืน ได้เน้นถึงความสำคัญของการใช้ AI ในยุคปัจจุบันว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะช่วยให้กระบวนการทำงานวิจัยมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยสามารถลดเวลาการค้นคว้าข้อมูลจากเดิมที่ใช้เวลานานถึง 70% เหลือเพียง 5% เท่านั้น ส่งผลให้นักวิจัยสามารถมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์และแปลผลการวิจัยได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การใช้ AI ต้องอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมทางวิชาการโดยเคร่งครัด ผู้ใช้ต้องหลีกเลี่ยงการคัดลอกข้อมูล (Plagiarism) และต้องอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง รวมถึงมีการสรุปความและถ่ายทอดเป็นคำพูดของตนเอง (Paraphrasing) อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
นอกจากนี้ ดร.สุขยืน ได้แบ่งประเภทของ AI ที่เหมาะสมกับงานวิจัยออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ AI ฝั่งความคิดสร้างสรรค์ เช่น ChatGPT และ Claude ที่ช่วยสร้างไอเดียและเขียนข้อความเบื้องต้น , AI ฝั่งวิชาการ เช่น Perplexity และ Google Bard (Gemini) และ AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Grok และ NotebookLM ที่ช่วยประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยได้สาธิตการใช้งาน AI ในกระบวนการทำงานวิจัย ตั้งแต่การกำหนดหัวข้อ การทบทวนวรรณกรรม การออกแบบวิธีการวิจัย การออกแบบเครื่องมือเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลผลจนถึงการเขียนรายงาน พร้อมแนะนำเครื่องมือและแอปพลิเคชัน AI ที่เหมาะสมสำหรับการจัดการอ้างอิงและบรรณานุกรม อย่างครบถ้วน
ส่วนประเด็นด้านจริยธรรมและความโปร่งใส วิทยากร ได้เน้นย้ำว่าผู้ใช้ AI ต้องระบุการใช้ AI อย่างชัดเจนในรายงานวิจัย และต้องไม่มีการนำผลงานของ AI ไปคัดลอกโดยไม่อ้างอิงแหล่งที่มา โดยให้ระบุแหล่งที่มาของ AI เช่น OpenAI สำหรับ ChatGPT หรือ Anthropic สำหรับ Claude ตามมาตรฐานการอ้างอิงในสาขาวิชาเช่น APA, MLA, IEEE อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมอบรมยังได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในงานวิจัย ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในวิธีการใช้งาน AI ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ นอกจากเนื้อหาดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกหลายหัวข้อที่น่าสนใจในการอบรมครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะด้านการใช้ AI ช่วยทำงานวิจัยอย่างรอบด้านและครบถ้วน เพื่อให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงอย่างเต็มประสิทธิภาพในอนาคต