ไทยยื่นหนังสือปฏิเสธข้อกล่าวหา “บินโดรน” รุกล้ำเข้าน่านฟ้ากัมพูชา พร้อมประท้วงกลับ “เขมร” บินรุกล้ำอธิปไตย ยื่นตรงถึง “ผู้ว่าฯ พระตะบอง” ด้าน “เด็จพี่”ฉะ'เท้ง'ชี้นายกฯ'อิ๊งค์'จับมือทหารแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ไม่ได้ละเมิดหลัก ปชต.แนะพวกดีแต่ค้าน ลงพื้นที่ดูสภาพปัญหาบ้าง เลิกอคติ ฉวยโอกาสใส่ร้ายทางการเมือง ส่วน “สพฐ.”กำชับโรงเรียนแถบชายแดนสร้างหลุมหลบภัย-ซ้อมแผนเผชิญเหตุ
จากกรณี นายซก ลู ผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบอง ได้ส่งตัวแทนนำเอกสารปิดผนึก จำนวน 2 ฉบับ ส่งมอบให้ นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี โดยมี พันจ่าเอกมงคล ทองทาม ชุดประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นผู้รับมอบพร้อมเจ้าหน้าที่ ตม.ไทยที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี กล่าวอ้างว่าฝ่ายไทย ได้ดำเนินการบินรุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้ากัมพูชานั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ประสานงานชายแดนไทย–กัมพูชา ได้นำหนังสือปิดผนึกจำนวน 2 ฉบับจากกองทัพเรือ ราชอาณาจักรไทย ส่งถึง นายซก ลู ผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบอง ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมี พันเอกยิง ซังเฮง หัวหน้าหน่วยประสานงานกัมพูชา–ไทย ช่องโดม เป็นผู้แทนรับมอบ
โดยหนังสือฉบับแรก เป็นเอกสารชี้แจงต่อกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยได้ดำเนินการบินรุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้ากัมพูชา โดยฝ่ายไทยยืนยันว่า “ไม่มีการปฏิบัติการบินใดๆ ที่รุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา” ตามที่ได้มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ส่วนหนังสือฉบับที่สอง เป็นการประท้วงอย่างเป็นทางการจากฝ่ายไทย โดยระบุว่าพบการบินโดรนรุกล้ำอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยโดยเป็นโดรนจากฝั่งกัมพูชา ซึ่งนับเป็นการละเมิดพื้นที่อธิปไตย ตาม MOU อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ หนังสือทั้งสองฉบับถูกยื่นผ่านหัวหน้า นปพท.จันทบุรี หัวหน้าหน่วยประสานงานชายแดนประจำพื้นที่ จันทบุรี สำนักงานประสานงานชายแดนไทย - กัมพูชา กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
โดยมี นายมนต์สิทธิ์ ไพรศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นผู้รับทราบในนามฝ่ายไทย เพื่อดำเนินการส่งสารและเจตนารมณ์อย่างเป็นทางการจากกองทัพเรือไทยไปยังฝ่ายกัมพูชา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนที่ทั้งสองฝ่ายต้องเร่งคลี่คลายผ่านกลไกความร่วมมือ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปสู่ความขัดแย้งทางการทหารหรือการทูตในอนาคต
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ติติง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ มอบอำนาจกองทัพ ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาว่าผิดหลักการประชาธิปไตยว่า การมอบอำนาจให้ทางกองทัพทำหน้าที่ปกป้องรักษาดินแดนในการเปิดหรือปิดด่าน เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ทหารคือผู้ทำงานคลุกคลี สัมผัสพื้นที่อย่างแท้จริง ในมิติความมั่นคง ไทยคำนึงถึงหลักอธิปไตยรักษาเขตแดน ปกป้องดินแดน ตอบโต้กลับจากเบาไปหาหนัก ส่วนด้านเศรษฐกิจ อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่เมื่อชั่งน้ำหนักความมั่นคงด้านเขตแดนแล้ว เชื่อว่าสิ่งที่ทหารและกองทัพภาค1และกองทัพภาค2 ดำเนินการนั้นเหมาะสม ถูกต้องแล้ว เราไม่ใช่ปิดตายทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม หากเกิดกรณีคนเจ็บ คนป่วย หรือนักศึกษา มีความจำเป็นต้องผ่านแดน ฝ่ายไทยไม่ได้ปิดกั้น
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า มาตรการรัฐบาล กองทัพ ทำงานสอดประสานกัน รัฐบาลดูเรื่องการนำเข้าสินค้าทางเกษตรบางชนิด เข้มงวดเรื่องน้ำมัน ไฟ พลังงาน การเร่งปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ฝ่ายความมั่นคง ทหารในฐานะผู้เชี่ยวชาญพื้นที่ มีความเข้าใจทางยุทธศาสตร์อย่างดี ก็ดูเรื่องกำลังพล การเปิดปิดด่าน ทำทุกอย่างถูกต้อง ไทยกับกัมพูชา เกิดภาวะตึงเครียดข้อพิพาทเขตแดน เราคนไทย ควรรวมใจกันให้กำลังใจนายกฯ รัฐบาล กองทัพ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อฟันฝ่าวิกฤตคลี่คลายไปให้ได้ ไม่มีใครคิดจะเอาสถานการณ์ดังกล่าวมาเล่นเกมการเมือง สร้างคะแนนนิยมอย่างที่ถูกกล่าวหา วาทกรรมการเมือง เสี้ยม ยุแยง ดีแต่ค้าน ดีแต่พูด นักเลงคีย์บอร์ด ทำตัวสวนทางกับชาวโลก ลดละเลิกได้ ควรเพลาๆบ้าง การที่นายกฯ รัฐบาลกับกองทัพเป็นเนื้อเดียวกัน แบ่งอำนาจหน้าที่กันอย่างชัดเจน ทุกฝ่ายจับมือสามัคคีไปด้วยกัน พร้อมใจกันแก้ปัญหา หาทางออกอย่างสันติระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ดีอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นว่าจะละเมิดหลักการประชาธิปไตยตรงไหน
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า นายณัฐพงษ์เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านคนรุ่นใหม่ ก่อนหน้านี้ฝนตก น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม เคยเห็นภาพหัวหน้าพรรคประชาชนลงพื้นที่ เยี่ยมเยียนชาวบ้านอยู่บ้าง ก่อนที่สภาฯ จะเปิด น่าจะใช้เวลาโอกาสว่างๆ ไปพูดคุยสัมผัสชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร พูดคุยกับประชาชนพื้นที่เขตแดนไทยกัมพูชาบ้างว่าเป็นอย่างไร จะกล้าหรือเปล่า เมื่อลงพื้นที่แล้ว จะเอานโยบายคัดค้านการเกณฑ์ทหาร เสนอแก้มาตรา 112 หรือวาทกรรมมีทหารไว้ทำไม ไปโฆษณาหาเสียงด้วยก็ได้ เชื่อว่าหากพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่เห็นด้วยในการเลือกตั้งครั้งหน้า คงจะได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายแน่นอน
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า นายกฯ แพทองธารทำงานอย่างเต็มที่ พอตัดสินใจออกมาตรการอะไรออกมา มอบหมายงานให้กองทัพบ้าง กลับโดนติติง วิจารณ์ หันซ้ายก็ผิดหันขวาก็ผิด มีคนจับผิดตลอดเวลา ทำอะไรดูเหมือนจะไม่ดี ไม่ถูกต้องในสายตาผู้นำฝ่ายค้านและพรรคประชาชนที่ท่องคำเดียวนายกฯต้องยุบสภาฯ นายกฯ รัฐบาลไทย กองทัพ คำนึงถึงหลักสากล เรื่องเขตแดน ความมั่นคง การจะผ่อนปรนทางทหาร ถอนกำลังจุดใด เปิดปิดด่านเวลาใด อะไรอย่างไร เวลาไหน ไม่มีใครรู้ดีเท่าทหาร ไทยยึดหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ปฏิบัติตามหลักสากลทุกประการ ไม่ได้รุกราน เปิดศึก ใช้กำลังก่อน ทนต่อการยั่วยุ ไม่ทำอะไรที่จะเข้าทางฝ่ายตรงข้ามให้นำไปขยายผลอย่างที่เขาต้องการ เชื่อว่าทางรัฐบาลพร้อมเปิดรับฟังความเห็นที่สร้างสรรค์ แสวงหาทางออกอย่างสันติจากทุกฝ่ายอยู่แล้ว ขอเพียงอย่าฉวยจังหวะ ใช้อคติ ความเกลียดชัง ใส่ร้ายเพียงเพื่อหวังฉวยโอกาสทางการเมืองเท่านั้นพอ
ขณะที่ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ประชุมหารือการดูแลนักเรียนและครูในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ได้สำรวจข้อมูลโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่อยู่ติดชายแดนในระยะไม่เกิน 50 กิโลเมตร พบว่ามีเขตพื้นที่จำนวน 16 แห่ง โรงเรียนรวม 416 แห่ง มีการจำแนกกลุ่มตามความเสี่ยง เช่น สีแดง คือกลุ่มที่อยู่ติดแนวตะเข็บชายแดน ในจำนวนนี้มีหลุมหลบภัย 160 แห่ง ส่วนโรงเรียนที่ไม่มีเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสร้างหลุมหลบภัยที่ปลอดภัยและแข็งแรงให้ ที่สำคัญคือทุกโรงเรียนมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุครบแล้ว ตามแนวปฏิบัติที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ มีการวางแผนการอพยพเคลื่อนย้ายเด็กให้รวดเร็วที่สุด เมื่อเกิดเหตุต้องมีสัญญาณเตือน มีเสบียงอาหาร ยา อุปกรณ์ที่จำเป็น และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นต้องเคลื่อนย้ายออกจากหลุมหลบภัยตามลำดับอย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มสีแดงให้มีการซักซ้อมอย่างเข้มข้น เพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียนและครูทุกคน
นางมาระตี กล่าวว่า แม้ว่า จะมีความจำเป็นที่จะยกระดับความเข้มข้นของการบริหารชายแดนในลักษณะนี้ แต่ที่ประชุมได้ย้ำว่า ฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับหลักมนุษยธรรมในการพิจารณาและติดตามผลของการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ซึ่งปรับใช้เป็นการพิเศษเฉพาะในช่วงนี้ ทางไทยได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรในระดับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ขณะเดียวกัน ยังหาเรือถึงการบูรณาการทำงานร่วมกันของ ศบ.ทก.และกลไกที่เกี่ยวข้อง ที่จะดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ได้ยกระดับความเข้มข้น เรื่องของการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการหลอกลวงทางออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการลักลอบขนยาเสพติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการออกรายงานเรื่อง สแกมเมอร์ เซนเตอร์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
“มาตรการที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยกระดับ มีจุดมุ่งหมายโดยตรงต่อธุรกิจเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์เป็นหลัก และไม่ได้มีเป้าหมายต่อประชาชนทั่วไป แต่เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ ยืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกประเทศด้วยความจริงใจ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคาม”นางมาระตี กล่าว
นางมาระตี กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงแนวทางการบริหารผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการการระงับการนำเข้าน้ำมันของกัมพูชา ต่อผู้ประกอบการไทยในกัมพูชาและผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจกับฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันให้ข้อมูลชี้แจงข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้บริหารสถานการณ์ต่างๆต่อไป
นางมาระตี กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ยังขอความร่วมมือประชาชนชาวไทยไม่แสดงความเห็นที่อาจจะเป็นการยั่วยุหรือรุนแรงสุดโต่งเพื่อไม่ให้สร้างความตึงเครียดเพิ่มเติม และไม่เป็นช่องทางให้ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศโจมตีซึ่งกันและกัน ทั้งนี้รัฐบาลไทยต้องการเห็นการแสดงออกในโลกโซเชียลที่สร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของอีกฝ่าย เพื่อลดอุณหภูมิความตึงเครียด และส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการหาทางออกร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะระหว่างรัฐบาลที่ต้องตอบสนองต่อประชาชน เป้าหมายสำคัญของฝ่ายไทย โดยเฉพาะของกระทรวงการต่างประเทศยังคงต้องการเห็นการกลับสู่โต๊ะการหารือ โดยหวังว่า ฝ่ายกัมพูชาจะตอบสนองต่อคำเชิญเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเขตแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) ในโอกาสแรก
ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะจุดผ่านแดนต่างๆ ที่ได้มีการยกระดับมาตรการควบคุมการผ่านเข้าออกที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เป็นผลจากการตั้งใจของฝ่ายไทยในการปราบปรามขบวนการธุรกิจอาชญากรรมข้ามชาติตามแนวชายแดน ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาได้เคยกล่าวถึงเจตจำนงความต้องการในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติภายในกัมพูชา จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาแสดงความจริงใจในการให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการไทยทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องปากท้อง การค้า และการขนส่งสินค้า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และให้ดำเนินการมาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือเยียวยาไปบางส่วนแล้ว และเร่งหารือในที่ประชุม ศบ.ทก. อย่างต่อเนื่อง ในการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องขอบคุณกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ประสานภาครัฐ เอกชน เข้ามาช่วยเหลือรับซื้อผลไม้ของเกษตรกรในพื้นที่ตะวันออก ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถส่งผลไม้ไปยังกัมพูชาได้ ในเบื้องต้นมีการแจ้งความประสงค์รับซื้อมาแล้วกว่า 20,000 กิโลกรัม และยังมีคนไกของพาณิชย์จังหวัด ที่ช่วยเชื่อมโยงผลผลิตจากทั่วประเทศมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคในหลายพื้นที่ กว่า 75,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในทันที จึงอยากขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันสนับสนุนสินค้าตามแนวชายแดน เพราะถือเป็นกำลังใจและเป็นกำลังที่สำคัญให้กับคนไทยทุกคน