สถานการณ์การเมืองไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมานัดรวมตัว 28 มิถุนายนนี้ กดดันให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือยุบสภา หลังกรณีคลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมาโดยสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเผยแพร่การสนทนาส่วนตัวกับผู้นำไทยจนกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก

แม้แพทองธารจะยืนยันว่าการพูดคุยนั้นไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหาย แต่หลายภาคส่วน ทั้งในแวดวงการเมือง ความมั่นคง และประชาชนทั่วไปกลับเห็นต่าง โดยเฉพาะเนื้อหาในคลิปที่สะท้อนถึงการประสานงานนอกรูปแบบกับผู้นำต่างชาติอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความโปร่งใส ความเหมาะสม และผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ

จุดเริ่มต้นของวิกฤต: คลิปเสียงจากเพื่อนบ้าน

คลิปเสียงที่ถูกปล่อยโดยฮุน เซน เป็นการสนทนาโทรศัพท์ระหว่างเขากับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน การปิดด่านไทย-กัมพูชา และความเข้าใจผิดด้านความมั่นคง โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มกดดันก่อนทั้งการตัดไฟ น้ำ และปิดด่าน จนต้องออกมาตอบโต้

แต่สิ่งที่จุดชนวนความไม่พอใจภายในประเทศคือ การที่ผู้นำกัมพูชานำคลิปดังกล่าวมาเผยแพร่สู่สาธารณะ พร้อมกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายก่อความขัดแย้งก่อน ซึ่งไม่เพียงทำให้ประเทศไทยเสียหายในเวทีระหว่างประเทศ แต่ยังสะเทือนเสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธารอย่างหนัก

 ปฏิกิริยาจากภาคประชาชนและนักวิชาการ

ทันทีที่คลิปถูกเผยแพร่ กระแสสังคมในไทยเริ่มปั่นป่วน หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของนายกรัฐมนตรีในการพูดคุยนอกรูปแบบโดยไม่มีผู้แทนการทูตหรือกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรู้ อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่ทำให้กองทัพภาคที่ 2 ถูกมองว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้าม” ของผู้นำรัฐบาล

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคงหลายคนออกมาเตือนว่า คลิปนี้ไม่เพียงแค่สร้างความเสียหายเชิงภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ยังอาจกระทบต่อความไว้วางใจระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ และนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงอำนาจในเชิงลึก  

ม็อบเรียกร้องลาออก: สัญญาณอันตรายต่อเสถียรภาพ

แรงกดดันไม่ได้มาจากเสียงวิจารณ์ทางออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่ได้ขยายตัวสู่การเคลื่อนไหวบนท้องถนน เมื่อหลายกลุ่มภาคประชาชน ทั้งนักศึกษา แรงงาน และภาคประชาสังคม ออกมารวมตัวกันชุมนุมในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด  เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือยุบสภา

การชุมนุมภายใต้คำขวัญ “ชาติไม่ใช่ของใครคนเดียว” และ “รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อศักดิ์ศรีของประเทศ” เป็นการสะท้อนความไม่พอใจที่ลึกซึ้งกว่าการเมืองแบบเลือกข้าง แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของชาติ

ความพยายามของรัฐบาล: ยืนยัน-ประนีประนอม-เบี่ยงเบน

นายกรัฐมนตรีแพทองธารออกมาแถลงการณ์หลายครั้ง โดยยืนยันว่า คลิปเสียงดังกล่าวไม่ใช่ความลับ เป็นเพียงการหารือส่วนตัว และไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์ใด ๆ พร้อมทั้งปฏิเสธกระแสกดดันให้ลาออกหรือยุบสภา

นอกจากนี้ รัฐบาลยังพยายามใช้กลยุทธ์การประนีประนอม โดยเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมเข้าหารือในรูปแบบเวทีรับฟังความคิดเห็น แต่ยังไม่มีมาตรการที่แสดงถึงความรับผิดชอบเชิงรูปธรรม จึงยิ่งกระตุ้นความไม่พอใจจากผู้ชุมนุมมากขึ้น

ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมืองภายใน แต่ยังแผ่ขยายไปถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกำลังเปราะบางอยู่แล้วจากปัญหาเขตแดน การค้า และผลประโยชน์ชายแดน คลิปเสียงดังกล่าวอาจเป็นชนวนใหม่ของความไม่ไว้ใจกันระหว่างสองประเทศ

ในขณะเดียวกัน ภายในประเทศเอง สัญญาณของความไม่มั่นคงเริ่มชัดเจน เมื่อมีการวิเคราะห์จากหลายฝ่ายว่า กองทัพอาจรู้สึกไม่พอใจต่อคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่สื่อว่าเป็น “คู่ขัดแย้ง” และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแรงเสียดทานเชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับฝ่ายความมั่นคง

รัฐบาลจะเอาตัวรอดอย่างไร?

ในสถานการณ์ที่ม็อบเริ่มขยายตัว และกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบทวีความเข้มข้นขึ้น รัฐบาลแพทองธารจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางการจัดการอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น

การเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงโดยโปร่งใส

การดึงหน่วยงานกลาง เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมสื่อสารกับประชาชน

การประเมินสถานการณ์รายวันโดยหน่วยงานความมั่นคง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลาม

วิกฤตความไว้ใจรัฐบาลแพทองธาร

กรณีคลิปเสียงที่ฮุน เซน ปล่อยออกมา ไม่ใช่แค่เรื่องการสื่อสารผิดพลาด หรือการทูตนอกรูปแบบเท่านั้น แต่เป็นเครื่องสะท้อนถึงความเปราะบางของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ที่ยังไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงในหมู่ประชาชน

หากนายกรัฐมนตรีแพทองธารยังคงยืนยันว่าไม่ลาออก ไม่ยุบสภา แต่ก็ไม่สามารถควบคุมกระแสความไม่พอใจที่ลุกลามจากคลิปเสียงได้ รัฐบาลอาจเข้าสู่ภาวะ “อยู่ไม่ได้แต่ไม่ไป” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รัฐบาลจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างดึงความไว้วางใจกลับคืน หรือเตรียมรับผลกระทบจากการสูญเสียอำนาจจากแรงกดดันทางสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

#แพทองธาร #คลิปเสียงฮุนเซน #ม็อบกดดันรัฐบาล #การเมืองไทย2568 #นายกควรลาออกไหม #เสถียรภาพรัฐบาล #ข่าวการเมืองล่าสุด #วิกฤตศรัทธา