‘กทม.’ ผนึก ‘ไบเออร์ไทย’ ต่อยอดปีที่ 2 รณรงค์หยุดโรคช็อกโกแลตซีสต์ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนกรุงเทพ ยกระดับสู่เมืองสุขภาพ

วันที่ 25 มิ.ย.68 กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยสำนักการแพทย์ และ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Understanding: MOU) “ความร่วมมือเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) และการเพิ่มอัตราการเข้าถึงยาและบริการทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายเวลาความร่วมมือที่ได้เริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2567 เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการรณรงค์ให้ประชาชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคช็อกโกแลตซีสต์ อีกทั้งเพิ่มโอกาสในการตรวจคัดกรองและการเข้ารับการรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์มากยิ่งขึ้น ความร่วมมือนี้ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาและสร้างมาตรฐานการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในสังคม โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดและมีสุขภาพที่ดีขึ้นในอนาคต

นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกแลตซีสต์ เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของผู้หญิงที่สามารถป้องกันและรักษาได้ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและรับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ โดยกรุงเทพมหานครประสบความสำเร็จในการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนร่วมกับ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด และโรงพยาบาลในสังกัดกทม. 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และโรงพยาบาลสิรินธร ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น แผ่นพับ วิดีโอ และจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคช็อกโกแลตซีสต์ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

“ผลตอบรับจากโครงการฯ นี้ในปีแรก ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้นว่าอาการที่เป็นอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์ ส่งผลให้มีการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้ประชาชนเพิ่มอัตราการเข้าถึงยา บริการทางการแพทย์ การตรวจคัดกรองและการรักษาโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความรุนแรงของการเกิดโรค แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ดังนั้น การลงนามในการขยายระยะเวลาของ MOU นี้จะเพิ่มศักยภาพในการขยายโอกาสออกไปสู่โรงพยาบาลสังกัดกทม. แห่งอื่นๆ ซึ่งจะยกระดับการดูแลป้องกันและรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต”

ทั้งนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพอย่าง บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จะช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์และนโยบายในการสร้าง เมืองสุขภาพดี หรือ Healthy City ตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ของกทม.อีกด้วย

นายแบรดลี่ย์ เจมส์ วิลเลี่ยมส์ กรรมการผู้จัดการและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจฟาร์มาซูติคอล บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครสะท้อนความมุ่งมั่นของไบเออร์ไทยที่จะสร้างประโยชน์ให้สังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ กทม.และไบเออร์ไทย จะดำเนินการในกิจกรรมการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในการเสวนา“เช็กก่อนช็อก (โกแลตชีสต์)” โดยให้ความรู้แก่ประชาชนร่วมกับแพทย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข ในสังกัด กทม. ตลอดจนการเผยแพร่สิ่งพิมพ์และกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้หญิงตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพของตนเองและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

“ไบเออร์ไทย มีความยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทยและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ชุมชนผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการส่งเสริมให้ “ทุกคนมีสุขภาพดีและไม่ขาดแคลนอาหาร” (Health for all, Hunger for none) และเป็นผู้นำปลุกพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงสังคมด้านการดูแลสุขภาพในทุกๆ มิติ”

โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เกิดจากภาวะประจำเดือนไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้อง ซึ่งประจำเดือนเหล่านี้มีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ด้วย เมื่อไปเกาะอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งก็อาจเจริญเติบโตเกิดเป็นพังผืด หรือสะสมอยู่ในรังไข่จนเกิดเป็นก้อนสีดำคล้ำคล้ายช็อกโกแลต จึงมักเรียกกันว่า ‘ถุงน้ำช็อกโกแลต’ หรือ ‘ช็อกโกแลตซีสต์’ โดยมีสัญญาณเตือนภัย อาทิ ปวดท้องประจำเดือนมากกว่าปกติ ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปวดอุ้งเชิงกรานขณะไม่มีประจำเดือน และภาวะมีบุตรยาก สิ่งสำคัญคือการได้รับการวินิจฉัยที่เร็ว ปัจจุบันมีแนวทางรักษา ได้แก่ 1. การรักษาด้วยยา 2. การผ่าตัด 3. การรักษาร่วมกันระหว่างการให้ยาและการผ่าตัด อย่างไรก็ตามยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคนี้ ดังนั้น หากมีอาการที่สงสัยควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรค ทั้งนี้สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสการกลับเป็นซ้ำได้ ดังนั้นแพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาเพื่อช่วยป้องกันการเกิดการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ในระยะยาว