“แพทองธาร”ปัดหวังผลการเมือง“เปิด-ปิดด่าน”ยัน“คลิปเสียง”คุย “ฮุนเซน”ไม่ได้ทำปท.เสียหาย
“นายกฯ”ย้ำประชุมครม.มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เสถียรภาพรัฐบาลสำคัญ สั่งรมต.ทำงานใกล้ชิดประชาชน ยันไม่มีนโยบายตอบโต้เปิด-ปิดด่านหวังผลการเมือง พร้อมแจงศาลรัฐธรรมนูญ ยันปม‘คลิปเสียง’ไม่ได้ทำประเทศเสียหาย “ภูมิธรรม” บอกแม่ทัพภาค 2 ชง สมช. ปิดปราสาทตาเมือนธมได้ หากสถานการณ์ไม่สู้ดี ไม่ต้องเติมกำลังเพิ่ม ด้าน”วิโรจน์” ชี้ปิดด่านชายแดนเป็นเพียงการกดดันเศรษฐกิจ แต่ไม่มีมาตรการคู่ขนานช่วย ปชช.เตือนระวังเจ็บเอง
เมื่อเวลา 12.10 น.วันที่ 24 มิ.ย.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สำหรับสถานการณ์ชายแดนกัมพูชาตนได้สั่งการให้ ครม.ติดตามอย่างใกล้ชิด เตรียมหามาตรการรองรับเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ขอยืนยันอีกครั้งว่าสถานการณ์เช่นนี้เสถียรภาพของรัฐบาลสำคัญมากๆ รวมถึงความสามัคคีก็สำคัญมาก ตนขอให้รัฐมนตรีทุกท่านทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและแก้ไขปัญหาอย่างทันการ ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ
“ขอย้ำว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายตอบโต้ในการเปิด-ปิดด่านชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยได้เตรียมมาตรการต่างๆในการช่วยเหลือประชาชนบริเวณชายแดนอย่างครบถ้วน อย่างเรื่องสินค้าการเกษตร ในที่ประชุมครม.ได้สั่งการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งมีมาตรการรองรับอยู่แล้ว ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐก็จะมารายงานอีกครั้งว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการถึงประชาชนจริงหรือไม่ เพราะตนก็ไม่อยากให้เกิดผลกระทบ” น.ส.แพทองธาร กล่าว
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ รับหรือไม่รับคดีคลิปเสียงนายกฯ ว่า “ค่ะ เราก็ประเมินเรื่องนี้นะคะหากต้องสนับสนุนในเรื่องข้อมูลหรืออะไรก็พร้อมในการให้ข้อมูลและชี้แจง เพราะคลิปเสียงที่หลุดออกมาก็ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ผู้นำแต่ละประเทศใช้เจรจากันอยู่แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่าในคลิปเสียงตัวดิฉันเองก็ไม่ได้อะไร และดิฉันเองก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหายอะไร จุดนี้คือจุดที่เป็นการคุยกัน ซึ่งก็ทราบอยู่แล้วว่าไม่ควรเปิดเผยคลิปที่เป็นการสนทนาแบบส่วนตัว ดิฉันก็พร้อมยืนยันและพร้อมอธิบายเล่าทุกเหตุการณ์อยู่แล้วถ้าต้องมีการอธิบาย”
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ที่มีนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชามาเที่ยวที่ปราสาทตาเมือนธมอย่างมีนัยสำคัญ สถานที่ดังกล่าวไม่สามารถที่จะปิดเองได้ต้องรอคำสั่งจากหน่วยงานใช่หรือไม่ว่า อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมส่วนต่างๆอยู่แล้ว เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น รัฐบาลรับรู้ทั้งหมด และก่อนหน้านี้ สมช. ได้มอบอำนาจให้กองทัพบก โดยให้ทหารซึ่งเป็นด่านหน้า ได้พิจารณาสถานการณ์ว่ามากน้อยหรือรุนแรงมากแค่ไหน โดยขณะนี้นี้ยังใช้มตินี้อยู่
เมื่อถามว่า บริเวณประสาทตาเมือนธม ให้อำนาจทหารที่อยู่ในพื้นที่เป็นตัดสินใจให้ปิด หรืออนุญาตให้ท่องเที่ยวใช่หรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามปกติ ยังไม่มีการห้ามหรือไม่ห้าม ตรงปราสาทตาเมือนธมที่ผ่านมา สามารถขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย ดังนั้นขนาดนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นแต่มีคำสั่ง ซึ่งเป็นเรื่องของแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 2 และกองกำลังจันทบุรี เป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตามการปฎิบัติจะต้องมีการหารือร่วมกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ที่แม่ทัพภาคที่ 2 จะพิจารณาตามความเป็นจริง
เมื่อถามว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไทยต้องยกระดับการเพิ่มขึ้น เพราะทหารกัมพูชาเติมกำลังคนและเติมพลังอาวุธ เข้าไปในพื้นที่ มองว่ามีนัยอะไรหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ที่ทหารกัมพูชามีอยู่นั้น ไม่ต้องเติมเพราะมีเยอะอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่สาระที่น่ากลัว เพราะสิ่งที่เขาทำก็เติมเต็มอยู่แล้ว ขณะที่ทางการไทยก็มีการเตรียมกำลังไว้ตั้งแต่มีการเผาศาลาตรีมุข เพราะขณะนั้นกองทัพภาค 2 ต้องไปฝึกกำลังที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตนจึงได้ปรึกษากับผู้บัญชาการทหารบกให้ฝึกซ้อมในพื้นที่ไม่ต้องเคลื่อนกำลังออกมา และเราก็ได้มีการเสริมกำลังพอสมควรแล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จะเห็นว่า เราไม่ได้เติมกำลังอะไร เพราะแค่ที่มีก็เต็มกำลังอยู่แล้ว มีการเตรียมการก่อนที่จะเกิดเหตุดังกล่าวนี้กว่า 6-7 เดือนแล้ว ซึ่งมีกองกำลังอยู่จำนวนเยอะแล้วทแต่ไม่ขอบอกตัวเลข
เมื่อถามถึง กรณีที่นายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เสนอให้ไทยเปิดด่านชายแดนก่อน แล้วกัมพูชาจะเปิดตามใน 5 ชั่วโมง แล้วจะกำลังค่อยหารือเรื่องการปรับกำลัง นายภูมิธรรม ระบุว่า เรามีเงื่อนไขและข้อเสนอที่วางไว้ คือลดการเผชิญหน้า ตลอดแนวชายแดน ให้มีการปรับกำลังทั้งสองฝ่าย รวมถึงการเปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อให้เข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จะต้องทำไปพร้อมกันทั้ง 2 ประเทศ โดยการกำหนดวัน-เวลา ซึ่งทางฝั่งกัมพูชาบอกว่าอำนาจทุกอย่างอยู่ที่สมเด็จฮุนเซนเพียงคนเดียว ซึ่งก็ยอมรับว่าได้มีการเสนอเงื่อนไขตามนั้นจริง ซึ่งในส่วนของเรา บอกว่าเป็นไปไม่ได้จุดยืนของเราต้องดำเนินการคือให้มีการปรับกำลังก่อนเปิดด่านพร้อมกัน
"จะมาบอกว่าคุณเปิดก่อนเราเปิดก่อนคงไม่ได้ เพราะตอนนี้มันมั่วไปหมดแล้ว ก็ควรจะทำให้พร้อมกัน"
เมื่อถามว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องไปพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนเพื่อให้ได้ข้อยุติ ในเรื่องการเปิดด่านพร้อมกันใช่หรือไม่นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว การจะเปิดด่าน เป็นเรื่องของที่ประชุม RBC ส่วนที่กัมพูชาปิดประตูตายจะไม่ประชุมนั้น ต้นน้องว่ามันสามารถพูดคุยและเจรจาได้ คำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เมื่อมีปัญหา หรือมีประโยชน์ ก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องคุย และเชื่อว่าจะสามารถพูดคุยกันได้
ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งยกระดับมาตรการบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เวลาเราพูดถึงมาตรการต่อกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ต้องพูดถึง 3 มาตรการด้วยกัน คือ มาตรการทางการทูต เศรษฐกิจ และทหาร ซึ่งมาตรการทางทหารเราคงไม่อยากเห็น เพราะหากใครเริ่มก่อน จะขาดความชอบธรรมทันที ดังนั้น มาตรการทางเศรษฐกิจ จึงเป็นทางเลือกที่สมควรพิจารณา แต่นายกรัฐมนตรีต้องไตร่ตรองว่า มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ มีผลกระทบทั้งกัมพูชา และผู้ประกอบการ ประชาชนคนไทยด้วย สิ่งที่อยากจะเห็นคือการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย และประชาชนที่มีกิจการการค้าตามแนวชายแดน หรือมีกิจการนำเข้าส่งออก ซึ่งเข้าใจว่ามีทั้งหมด 7 จังหวัด และเท่าที่มีการตรวจสอบงบกลางยังเหลือ รอเพียงแค่การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เมื่อถามว่า ขณะนี้เห็นเพียงมาตรการการกดดัน แต่ยังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือประชาชน ใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยังไม่เห็น มาตรการการกดดันทางเศรษฐกิจ วัตถุประสงค์สำคัญ คือการเหนียวนำ สร้างแรงจูงใจ ให้กัมพูชามาเจรจาด้วยเหตุด้วยผล หากไม่มีมาตรการคู่ขนานในการช่วยเหลือประชาชน สุดท้ายจะกลายเป็น ทำเขา แต่เราอาจจะเจ็บตัวกว่า และขอย้ำว่า มาตรการ กดดันเศรษฐกิจต้องควบคู่ไปกับมาตรการเยียวยา
"เกมนี้เป็นลักษณะใครอึดกว่าเป็นผู้ชนะ ตอนนี้ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี จะใส่ใจแต่การเอาคืนอย่างเดียว แต่ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่มาถึงประชาชน" นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่เคยออกมาเปิดเผยเรื่องกลุ่มทุน ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามอาชญากรรม มองว่า นายกรัฐมนตรี จะแก้ปัญหาตรงนี้หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในส่วนนี้ตนจึงบอกว่าทำได้เลย และมีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด เราทราบอยู่แล้วว่า กระเป๋าตังค์ของตระกูลฮุน กระเป๋าขวา คือ LYP Groups หรือ ออกญา ลี ยงพัด ซึ่งทราบอยู่แล้วว่า เส้นเงินเชื่อมโยงกับ เสี่ย ต. ในประเทศไทย กลุ่มนักการเมืองอาจจะนามสกุล อ. มั้ง และอาจมีอีกหลายคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถจัดการได้เลย อะไรก็ตามที่ กระทบกระเทือนกับธุรกิจกาสิโน ที่เป็นแหล่งทุนของตระกูลฮุน จะสามารถสร้างแรงกดดันได้แน่นอน และสร้างผลกระทบที่จำกัดต่อประชาชนของทั้งบริเวณสองประเทศ ส่วนกระเป๋าซ้าย ก็คือ มง ลิด ที ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ เมื่อรู้เส้นเงินก็ต้องเร่งรีบจัดการ
"มันจึงเกิดคำถาม ถึงการที่สมเด็จฮุนเซน ระบุว่า เขาก็จะเปิดเหมือนกัน ถึงกลุ่มเงินไทยที่เข้าไปฟอกเงินในกัมพูชา สำหรับผมไม่กังวล เปิดก็ดี จะได้ล้างกันสักที เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ถ้าเป็นเงินที่สะอาด เราไม่ว่ากันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเงินสกปรก ที่ผัวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นพนันออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ต้องยอมรับว่า ผลกระทบเกิดกับประชาชนไทย ก็ถือโอกาสจัดการอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในประเทศ ช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อไปในคราวเดียวกันเลย ผมอยากให้รัฐบาลทบทวนมาตรการ ตัดไฟ น้ำมัน อินเทอร์เน็ต เพื่อแก้ปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา เพราะตอนนี้ ตนได้รับรายงานว่า แก็งคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวแล้ว แต่ผลกระทบตกอยู่กับผู้ประกอบการ ตนไม่ได้บอกว่าให้ยุติ แต่จะต้องมาทบทวน เพราะเราต้องการยุทธวิธีที่พุ่งเป้าไปที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นหลัก”นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ต้นเหตุของความขัดแย้ง เกิดจากการที่เราจะมีการสร้างกาสิโน ที่อาจขัดผลประโยชน์กับฝั่งกัมพูชาที่มีกาสิโนเช่นเดียวกัน นายวิโรจน์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปคิดไกล ตอนนี้โยงกันไปหมด วันนี้เราต้องจัดมิติการคิดในเรื่องของข้อพิพาทก่อน เราอย่าพึ่งเอาผลประโยชน์ของตระกูลนี้ แต่ต้องเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก หากคิดในเรื่องของตระกูลก็คิดได้ แต่พิสูจน์ความจริงยาก ณ วันนี้ เราต้องยึดหลักในเรื่องพรมแดน และเอาเอ็มโอยู 43 เป็นหลัก หากต้องการดำเนินมาตรการใดๆ ต่อ