“ภูมิธรรม” เผย พร้อมช่วยคนไทยในตะวันออกกลาง ยัน กองทัพเตรียมเครื่องบิน-เส้นทางลำเลียงไว้แล้ว หากมีเหตุการณ์รุนแรง พร้อมอพยพทันที ด้าน “พีระพันธุ์” ถกมาตรการรับมือผลกระทบพลังงาน หลังอิหร่านขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุช “พิชัย” ย้ำตลาดทุนไทยยังแข็งแกร่ง! รัฐบาล-ตลท.ออกมาตรการสกัดผันผวนหลังเหตุตึงเครียดตะวันออกกลาง
เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของกองทัพในการอพยพคนไทย ในสงครามตะวันออกกลางว่า เราเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว รวมทั้งเส้นทางลำเลียง อีกทั้งมีการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ แต่สิ่งสำคัญคือคนของเราที่อยู่ในประเทศต่างๆ ไม่ได้อยู่แบบนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ไปทำงานและมีต้นทุนที่เขาต้องจ่าย อย่างในประเทศอิหร่านมีประมาณ 300 คน ที่มีความลำบาก เพราะเส้นทางลำเลียงใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง แต่มีการดูเส้นทางและประสานไว้ทั้งหมดแล้ว
“วันนี้หากถามผู้ที่เป็นแรงงานอยู่ในประเทศต่าง ๆ ว่าเขาอยากกลับหรือไม่นั้น ก็คงไม่อยากกลับ หรือแม้แต่บัง คับกลับ ก็ยังไม่อยากกลับ ซึ่งเราได้บอกเขาถึงสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร ขอย้ำว่า ได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว เช่น การนัดหมายเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรง เมื่อเขาเห็นก็คงพร้อมที่จะเดินทางกลับ และเราก็พร้อมที่จะปฏิบัติการร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นหากมีเหตุการณ์ที่รุนแรง และต้องมีการอพยพเราจะดำเนินการทันที”
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า หากจะต้องอพยพคนจากอิหร่าน จะต้องมีการใช้เงินมากถึง 1 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราไม่ต้องไปรอเขาเรียกเงิน ขอย้ำว่าเราเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว
ด้าน น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ได้นัดประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เพื่อหามาตรการรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นหลังทางการอิหร่านเตรียมประกาศปิดช่องแคบฮอร์มุช ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบที่สำคัญของโลก เพื่อตอบโต้หลังถูกโจมตีกรณีเกิดความขัดแย้งกับอิสราเอล
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยว่า รัฐบาลไทยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจในภาพรวม โดยเฉพาะต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินและการลงทุน
“มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่การปิดตลาดหรือการสกัดกั้นการลงทุน แต่เป็นการดูแลเสถียรภาพตลาดในช่วงที่มีเหตุการณ์ภายนอกที่ไม่แน่นอน เราเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจไทย และจะดำเนินการทุกวิถีทางในการรักษาความมั่นคงของตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการประชุมเร่งด่วนและมีมติออกมาตรการชั่วคราว 2 ข้อ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาด ได้แก่ 1. การปรับ Ceiling & Floor ของราคาหลักทรัพย์ ลดกรอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์จาก ±30% เหลือ ±15% สำหรับตลาด SET, mai และ TFEX เพื่อชะลอความผันผวนที่รุนแรงในระยะสั้น 2. การปรับกรอบราคา Dynamic Price Band ลดจาก ±10% เหลือ ±5% ของราคาซื้อขายล่าสุดในแต่ละหลักทรัพย์ เพื่อจำกัดความผันผวนของราคาระหว่างวันสำหรับมาตรการทั้งสองนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ถึงไม่เกินวันที่ 27 มิถุนายน 2568”