เมื่อเวลา 18.05 น. วันที่ 23 มิ.ย. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย และ นายนิกรเดช พลางกูร  อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมแถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ประจำวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568 

 

นายนิกรเดช กล่าวว่า รัฐบาลยังคงยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการปิดด่าน หรือที่เรียกว่าจุดผ่านแดนถาวร ซึ่งทุกด่านยังเปิดทำการปกติ แต่จะมีการจำกัดการผ่านแดนให้บุคคลที่มีเหตุจำเป็น และจำกัดวันเวลาในการเข้าออก ซึ่งเป็นการบังคับใช้มาตรการขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จากที่มีทั้งหมด 4 ขั้น โดยที่ฝ่ายไทยจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาความจำเป็นในการเพิ่มความเข้มข้นของการใช้มาตรการต่างๆ โดยให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด สำหรับเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 ได้มีคำสั่งปรับมาตรการควบคุมจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ซึ่งไม่ถือเป็นการปิดด่านที่เป็นจุดผ่านแดนถาวรหรือแม้แต่จุดผ่านแดนชั่วคราว ซึ่งการแบ่งจุดประเภทจุดผ่านแดนแบบต่างๆ มีหลายประเภท ซึ่งจุดผ่อนปรนทางการค้าเป็นจุดในมิติทางเศรษฐกิจ ถือเป็นช่องทางที่รัฐบาลเปิดผ่อนปรนให้มีการค้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่น และช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในด้านมนุษยธรรม ทั้งนี้ การปรับมาตรการควบคุมที่จุดผ่อนปรนแห่งนี้ เป็นมาตรการที่หน่วยทหารในพื้นที่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการ จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ และเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบัน 

 

นายนิกรเดช กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ และการกระทำที่ผิดกฎหมาย อาทิ การหลอกลวงออนไลน์ การลักลอบขนส่งผิดผิดกฎหมาย การลักพาตัว ภายใต้นโยบาย Seal Stop Save เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายอำนาจให้ในการควบคุมทุกประเภทให้แก่หน่วยทหารในพื้นที่ และเป็นการดำเนินการตลอดแนวชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยทั้งหมด  ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยจริงจังกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือออนไลน์สแกม ทางการไทยได้มุ่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวทางฝั่งตะวันตกของประเทศ โดยได้เป็นเจ้าภาพการประชุม 3 ฝ่ายระหว่างไทย - เมียนมา - จีน เพื่อประสานงานการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์เมื่อเดือน ก.พ.68 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ พบการกระทำผิดน้อยลง และเหยื่อจำนวนมากได้รับความช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าปัญหาออนไลน์สแกมได้เปลี่ยนพื้นที่มาเป็นฝั่งตะวันออกของประเทศมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

 

นายนิกรเดช กล่าวว่า ทั้งนี้ รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ โดยได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และดำเนินการปราบปรามผู้กระทำผิด และที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติด และอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) รวมทั้งผ่านการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะออนไลน์สแกม ถือเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะได้พิจารณามาตรการที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต่อไป ส่วนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานกัมพูชา ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะดูแลสวัสดิการของแรงงานกัมพูชาตามกฏหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และขอยืนยันว่าไทยไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกัมพูชาออกนอกราชอาณาจักร แต่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของแรงงาน หากแรงงานตัดสินใจเดินทางกลับประเทศย่อมเป็นสิทธิ และเสรีภาพของแรงงานเอง โดยทางการไทยได้เตรียมแผนรองรับสำหรับภาคเอกชนไว้แล้ว ด้วยการสำรองแรงงานจากประเทศอื่นเข้ามาทดแทน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ขอย้ำว่าแรงงานกัมพูชายังสามารถทำงานในไทยได้ตามปกติ

 

นายนิกรเดช กล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยได้ปฏิบัติตามเอ็มโอยู 2543 อย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาที่ว่าฝ่ายไทยละเมิดเอ็มโอยู 2543 ตามที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ อย่างไรก็ดีหากฝ่ายใดเห็นว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดเอ็มโอยู 2543 สามารถใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจาแก้ปัญหาได้ เช่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย - กัมพูชา ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกัน และลดความตึงเครียดที่มีอยู่ พร้อมย้ำว่า ฝ่ายไทยยังมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคี ขณะเดียวกันจะเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินมาตรการเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย เพราะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติเป็นประเด็นที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมามีการหารือแก้ไขปัญหานี้ในกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะยังคงให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกันต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ

 

ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ รองโฆษกกองทัพไทย ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. กล่าวว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนในห้วงเวลานี้ได้ทวีตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากวิกฤติการณ์ล่าสุดของกำลังทหารกัมพูชาและการกระทำของบุคคลบางกลุ่มในพื้นที่ชายแดน ซึ่งได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย ทั้งในลักษณะการเดินลาดตระเวน การติดอาวุธ การดัดแปลงที่มั่นทางทหาร และการกระทำที่สื่อถึงความพยายามในการยั่วยุ โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาควาย รวมถึงปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียวโดยไม่มีการหารือล่วงหน้า ประเทศไทยตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ฝ่ายไทยยึดหลักสันติวิธีมาโดยตลอด และมีความมุ่งมั่นที่จะคลี่คลายปัญหาทั้งหมดโดยกระบวนการเจรจาแบบทวิภาคี บนพื้นฐานของความเคารพต่ออธิปไตยและความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ไทยยังมองพี่น้องกัมพูชาเป็นมิตรเสมอมา เราเข้าใจและแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า พฤติกรรมที่สร้างความตึงเครียดในขณะนี้เป็นผลมาจากนโยบายหรือคำสั่งของผู้นำระดับสูงบางคนของกัมพูชา มิได้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนโดยรวม 

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งจนบานปลาย รัฐบาลไทยโดย ศบ.ทก.ได้ตัดสินใจมาตรการควบคุมเพิ่มเติมในบางพื้นที่บริเวณแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองกำลังป้องกันชายแดน ครอบคลุม 7 จังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทรบุรี และตราด ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดูแลความสงบเรียบร้อย และคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที รวมทั้งมุ่งป้องกันและปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน รวมถึงเครือข่ายหลอกลวงประชาชนผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ การลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมายและยาเสพติด

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้รับทราบว่า รัฐบาลกัมพูชาประกาศงดซื้อน้ำมันจากประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนชาวกัมพูชาในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้มีนโยบายห้ามขายน้ำมันให้กับกัมพูชาแต่อย่างใด ประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแสดงความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ และจากบางสื่อมวลชนเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือนโยบายจากรัฐบาลไทย จึงขอชี้แจงไปยังชาวกัมพูชาว่า ความเดือดร้อนที่ท่านประสบอยู่ขณะนี้ไม่ได้เกิดจากมาตรการจากฝ่ายไทย แต่เป็นผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชาเอง และขอเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาดูแลความปลอดภัยและปกป้องคุ้มครองชุมชนไทยในกัมพูชา ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักไมตรี มองชาวกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความจริงใจของฝ่ายไทยจะนำไปสู่การเจรจาและคืนความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนโดยเร็ว ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกการดำเนินการของฝ่ายไทยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและยึดหลักแห่งสันติ สติ และความรอบคอบ ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่ยืนหยัดปกป้องศักดิ์ศรีของชาติอย่างสง่างาม ขอบคุณคนไทยที่ติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใย และขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการร่วมมือกันรักษาความสงบ รัฐบาลยืนหยัดเคียงข้างประชาชน และจะไม่ยอมให้สถานการณ์ใดๆ บั่นทอนความมั่นคงและศักดิ์ศรีของแผ่นดินไทย