วันที่ 23 มิ.ย.2568 นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณี คุณปุณญพัฒน์ เดชบำรุง นักศึกษาครูหญิงข้ามเพศ ซึ่งถูกห้ามเข้าสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เนื่องจากแต่งกายไม่ตรงกับคำนำหน้าชื่อในบัตรประชาชนว่า เป็นกรณีที่สะท้อนถึง ปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบราชการไทย ที่ยังไม่สามารถตอบสนองต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนได้อย่างแท้จริง แม้รัฐบาลจะมีมติคณะรัฐมนตรี (มติ ครม. วันที่ 20 ก.พ. 2567)แถลงไว้ชัดว่า “จะส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพราะอัตลักษณ์ทางเพศ” และให้หน่วยงานของรัฐเขียนและใช้ถ้อยคำในทางราชการอย่างเป็นกลาง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

“คุรุสภาก็ยังยึดเพศกำเนิดเป็นเกณฑ์หลักในการกำหนดกฎระเบียบ โดยไม่มีแนวปฏิบัติใหม่ หรือคำสั่งที่ทำให้มติ ครม. มีผลในทางปฏิบัติ ไม่มีคำสั่งบังคับใช้ในหน่วยงาน และไม่มีใครรับผิดชอบต่อความเสียหายของผู้ถูกกีดกัน มติ ครม. ย่อมไม่ต่างจากกระดาษแผ่นหนึ่งที่ดูดี แต่ไม่ปกป้องใครเลย ความไม่เท่าเทียมทางเพศ ไม่เพียงเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศไทยต้องการใช้ศักยภาพของทุนมนุษย์อย่างเต็มที่ในทุกมิติ แต่กลับมีระบบที่กันบุคคลออกจากโอกาสเพียงเพราะไม่ตรงกับแบบแผนที่รัฐกำหนดไว้”นายธัญวัจน์ กล่าว

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า ตามข้อมูลจาก ธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า การเลือกปฏิบัติต่อ LGBTQIA+ อาจทำให้ประเทศสูญเสีย GDP สูงถึง 1.4% ต่อปี และองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ปลด “ภาวะข้ามเพศ” ออกจากบัญชีโรคจิตเวชแล้วตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งยืนยันว่า การแสดงออกทางเพศไม่ใช่ความผิดปกติ แต่คือเรื่องของสุขภาพทางเพศที่ควรได้รับการคุ้มครองและสนับสนุนแต่ในไทย ราชการยังใช้เพศในทะเบียนราษฎรเป็นเกณฑ์บังคับพฤติกรรม และนั่นคือการ ย้อนแย้งกับมาตรฐานสากล และกีดกันสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

“ความอคติทำลายสิทธิ และการทำลายสิทธิก็คือการทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเมื่อคนบางกลุ่มไม่มีสิทธิเข้าถึงการศึกษา การสอบ การทำงาน หรือการได้รับความคุ้มครอง ความสามารถของชาติจะถูกริดรอนไปทีละเล็กทีละน้อย นี่จึงไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มน้อย แต่มันคือการที่ประเทศ สูญเสียพลังทั้งหมดจากความหลากหลาย ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องหยุดใช้คำว่า ‘เท่าเทียม’ เป็นเครื่องประดับ และเริ่มเปลี่ยนระบบราชการให้เห็นคนเป็นคน ไม่ใช่เพียงเพศในเอกสาร”นายธัญวัจน์กล่าว