เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 29 ม.ค.62 ที่กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 ถนนวิภาดีรังสิต พล.ต.ต.สำราญ นวลมา ผบก.สปพ. พร้อมด้วย พ.ต.ท.อานันท์จักร์ กนกนพวัชร์ รอง ผกก.สายตรวจ พ.ต.อ.สมบูรณ์ เทียนขาว ผกก.สายตรวจ บก.สปพ. พ.ต.ท.นฤวัต พุทธวิโร สว.งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สายตรวจ บก.สปพ. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดีสำคัญ เกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารทางราชการ 1 คดี คดีเกี่ยวกับแก๊งเงินกู้นอกระบบ รวม 2 คดี ผู้ต้องหา 6 คน พร้อมของกลางจำนวนมาก พล.ต.ต.สำราญ กล่าวว่า การจับกุมทั้ง 2 คดี เป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. ที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยออกทำการระดมกวาดล้างและกวดขันปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธปืน หรือรถยนต์ คดีแรก งานสายตรวจ 1 กก.สายตรวจ บก.สปพ. จับกุมตัวนายพศ โภคินอัคร อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรีที่ จ.572/2561 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ในข้อหา ปลอม และใช้เอกสารราชการปลอม พร้อมของกลางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค จำนวน 2 เครื่อง ปริ้นเตอร์ จำนวน 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง แผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถ ซึ่งยังไม่ได้ระบุ ทะเบียนรถ และวันหมดอายุ จำนวน 1 แผ่น สำเนารายการจดทะเบียนรถยนต์ จำนวน 2 แผ่น สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 2 เล่ม สติกเกอร์ EMS post จำนวน 35 แผ่น ซองเอกสารสีน้ำตาล จำนวน 59 ซอ กระดาษการ์ดขาว 120 แกรม จำนวน 53 แผ่น โดยจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 59/172 หมู่ 5 ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรธานี เมื่อเวลาท06.30 ( 26 ม.ค.) ที่ผ่านมา ก่อนขยายผลตรวจยึดรถที่นำป้ายทะเบียนและแผ่นป้ายภาษีปลอมไปใช้ แบ่งเป็นรถยนต์ จำนวน 4 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน พล.ต.ต.สำราญ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้มีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนมายัง สายด่วน 191 ว่ามีผู้นำแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีตัวเลขและตัวอักษรตรงกับแผ่นป้ายทะเบียนรถของตนไปใช้กับรถคันอื่น ทำให้ตนได้รับใบสั่งว่ากระทำความผิดจราจรส่งมายังบ้าน สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนจำนวนมาก กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นช่องทางให้อาชญากรหรือผู้ที่คิดว่าจะกระทำความผิดนำไปใช้ในการก่อเหตุต่างๆ ซึ่งยากต่อการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี อีกทั้งยังสร้างความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนทั่วไปและทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล จึงสั่งการให้ทำการสืบสวนจนพบว่ามีผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่ง ได้ประกาศรับจัดทำ และจำหน่าย แผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถ และแผ่นป้ายทะเบียนรถ โดยคิดค่าบริการรายการต่างๆ ในราคาต่างกันไป พล.ต.ต.สำราญ กล่าวอีกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการล่อซื้อ สั่งทำแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถ และแผ่นป้ายทะเบียนรถ จากผู้ใช้เฟสบุ๊คดังกล่าวมาจากนั้นจึงทำหนังสือและส่งตัวอย่างแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีและแผ่นป้ายทะเบียนรถที่ได้ล่อซื้อให้กรมการขนส่งทางบก ตรวจสอบแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถ และแผ่นป้ายทะเบียนรถดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบว่า เป็นแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถปลอม และแผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม จึงได้ทำการสืบสวนต่อไป จนทราบว่าบุคคลซึ่งเป็นผู้ใช้เฟสบุ๊คและลักลอบรับทำและเป็นผู้ส่งพัสดุ คือนายพศ โภคินอัคร อายุ 30 ปี ชาวจ.อุดรธานี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอให้พนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ออกหมายจับ พร้อมหมายค้นต่อศาลจังหวัดอุดรธานี เพื่อค้นบ้านเลขที่ 59/172 หมู่ 5 ต.หนองบัว อ.เมืองอุดรธานี ตามหมายค้นศาลจังหวัดอุดรธานีที่ 15/2562 ลงวันที่ 25 มกราคม 2562 จนสามารถจับกุมตัวนายนายพศ พร้อมตรวจยึดของกลางที่ใช้ปลอมแปลงเอกสารต่างๆได้ที่บ้านพักเมื่อเวลา 06.30 น. (26 ม.ค. ) ที่ผ่านมา โดยในชั้นการจับกุมนายพศ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และขยายผลจนสามารถตรวจยึดรถพร้อมแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถปลอม ,แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ที่เครือข่ายลูกค้าซื้อจากนายพศ ได้นำมาใช้จริง จำนวนหลายรายการ ซึ่งมีการสืบสวนสอบสวนจนทราบถึงพาหนะที่นำทะเบียนและแผ่นป้ายปลอมไปใช้ ซึ่งแบ่งเป็นรถยนต์ จำนวน 4 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน พล.ต.ต.สำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะนำรถของกลางทั้งหมดมาตรวจสอบว่า เป็นรถที่ได้มาอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ หากพบว่าเป็นรถที่ได้มาจากการกระทำผิดก็จะเชิญตัวเจ้าของรถมารับทราบข้อกล่าวหา ก่อนความคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนของแต่ละพื้นที่ ดำเนินคดีในข้อหาปลอม และใช้เอกสารราชการปลอมด้วย ทั้งนี้ฝากไปยังพี่น้องประชาชนที่ได้รับใบสั่ง ทั้งๆ ที่ตนเองไม่เคยไปในพื้นที่ที่ถูกออกใบสั่งมาร้องทุกข์เพิ่มเติมเพื่อทำการตรวจสอบเพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสายตรวจ 3 กก.สายตรวจ บก.สปพ. ทำการจับกุมนายฤาชัย หรือต่อ กอบธรรม อายุ 31 ปี ชาว จ.จันทบุรี น.ส.ภัคนันท์ เจริญลาภ อายุ 32 ปี ชาว จ.ชลบุรี ภรรยาของนายฤาชัย นายณัฐพล แก้วฤทธิ์ อายุ 20 ปี ชาว จ.จันทบุรี นายภูวนาท นิลใหม่ อายุ 20 ปี ชาว จ.จันทบุรี และนายกฤษฏา พึ่งพินิจ อายุ 18 ปี ชาว กทม. พร้อมของกลาง รถจักรยายนต์ที่ลูกหนี้นำมาจำนำ 2 คัน รถยนต์ 1 คัน รถจักรยายนต์ที่ใช้เก็บเงินกู้ 4 คัน โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง นามบัตรทรัพย์มณีเงินทุน จำนวน 3,000 ใบ สมุดบัญชีรายการยอดเงินผู้กู้ 2 เล่ม รายชื่อเบอร์โทรศัพท์ของผู้กู้ 1 แผ่น เอกสารสัญญากู้ยืมเงินจำนำรถจักรยานยนต์และรถยนต์ 3 ฉบับ และเอกสารการกู้ยืมเงินจำนวน 14 ฉบับ พ.ต.อ.สมบูรณ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่สายตรวจ 191 ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีนายทุน ชื่อนายฤาชัยหรือต่อ ฉายาเฉาก๊วย นำเงินมาปล่อยกู้ คิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และยังปล่อยให้กู้โดยใช้รถเป็นหลักประกันไว้ ในอัตราร้อยละ 30 บาทต่อเดือน ซึ่งใช้ชื่อในนามบัตรว่า “ทรัพย์มณีเงินทุน” โดยนายฤาชัย มีลูกน้องที่ร่วมทำงานในการปล่อยเงินกู้ 4-5 คน ใช้รถจยย. 4-5 คัน ตระเวนปล่อยเงินกู้ตามตลาดนัดและคนทั่วไปในพื้นที่ฝั่งธนบุรี โดยปล่อยให้กู้เงินเป็นรายวัน จำนวน 10,000 บาทต่อราย และในครั้งแรกจะต้องจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นวันละ 600 บาทจนครบ 22 วัน คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 30 บาทต่อเดือนซึ่งถือว่าเกินที่กฏหมายกำหนด ส่วนการใช้รถเป็นหลักประกัน จะประเมินตามสภาพรถและผ่อนชำระเป็นรายเดือนแล้วแต่ราคารถ เจ้าหน้าที่จึงวางแผน ก่อนทำการจับกุมนายณัฐพล และนายกฤษฏา ได้ที่ห้างบิ๊กซี สาขาสุขสวัสดิ์ ขณะรอรับเงินจากผู้กู้ ก่อนขยายผลไปจับกุม นายฤาชัย นายทุน น.ส.ภัคนันท์ คนดูแลบัญชี ภรรยาของนายฤาชัย และ นายภูวนาท คนหาลูกค้าแจกนามบัตร ได้ที่บ้านพักเลขที่ 888/121 หมู่ 2 ซอยประชาอุทิศ 90 ต.บ้านคลองสวน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งใช้เป็นสำนักงาน พ.ต.อ.สมบูรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติการณ์ของแก๊งเฉาก๊วย มีเงินหมุนเวียนเดือนละ 200,000 บาท การทำงานจะแบ่งหน้าที่กันทำโดยมีนายฤาชาเป็นหัวหน้าและนายทุน น.ส.ภัคนันท์ ภรรยาของนายฤาชา เป็นเจ้าของบัญชีที่ลูกค้าจะโอนเข้า นายภูวนาทคอยแจกนามบัตรทรัพย์มณีเงินทุน และหาลูกค้า นายณัฐพลและนายกฤษฏา ทำหน้าที่เก็บเงินและแจกนามบัตร ส่วนค่าจ้าง นายฤาชา จะให้เงินลูกน้องทั้ง 4 คน คนละ 5,000 บาทต่อเดือน และมีค่าน้ำมันสำหรับใช้รถจยย.คอยเก็บเงินกับหาลูกค้าอีกวันละ 100 บาท ทำมานานกว่าท1 ปี ปัจจุบันมีรายชื่อลูกหนี้อยู่ในพื้นที่ฝั่งธนบุรีกว่า 50 คน เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และจากการตรวจสอบยังไม่พบว่าเคยก่อเหตุทำร้านลูกหนี้รายใด ซึ่งหลังจากนี้จะทำการขยายผลไปยังเครือข่าวอื่นๆที่มีความเชื่อมโยงกันพร้อมส่งเรื่องไปยัง ปปง. ยึดทรัพย์ต่อไป