“อิหร่าน” ประณาม “สหรัฐฯ” ร่วมโจมตี “3 ฐานนิวเคลียร์” ชี้เป็นการละเมิดที่จะอนุญาตตอบโต้โดยชอบธรรม เตือน เรื่องนี้จะทำให้เกิดผลกระทบ "ที่ไม่รู้จบ" ส่วน “ยูเอ็น”กังวล “สหรัฐฯ” ร่วมโจมตีอิหร่าน หวั่นส่งผลกระทบสงครามตะวันออกกลาง

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายอับบาส อารักชี รมว.การต่างประเทศอิหร่าน กล่าวถึงกรณีที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้สั่งให้กองทัพปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของประเทศ คือ นาทานซ์ อิสฟาฮาน และฟอร์โดว์ “เป็นการกระทำที่อุกอาจ” และ “จะมีผลกระทบตามมาแบบไม่รู้จบ”

นอกจากนี้ อับบาส ยังโพสต์ทางแพลตฟอร์ม X ระบุว่า สหรัฐ ซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Non-Proliferation Treaty – NPT) อย่างร้ายแรงด้วยการโจมตีฐานทัพนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพของอิหร่าน

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้านี้ สร้างความขุ่นเคืองใจ และจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกของสหประชาชาติ อันเป็นผลจากพฤติกรรมที่อันตรายอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งกฎหมาย และเป็นอาชญากรรม ตามกฎบัตรสหประชาชาติและบทบัญญัติที่อนุญาตให้ตอบโต้โดยชอบธรรมเพื่อป้องกันตนเอง ทั้งนี้ อิหร่านขอสงวนทางเลือกทั้งหมด เพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ และประชาชนของตน”

ทางด้าน อันโตนิโอ กูเตร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวล โดยระบุว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการยกระดับความรุนแรงที่อันตรายในภูมิภาคที่อยู่บนปากเหวแล้ว ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง ไม่มีทางออกทางการทหาร หนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าคือการทูต ความหวังเดียวคือสันติภาพ

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริการะบุว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-2 ของกองทัพสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทั้งนี้ เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-2 สามารถบรรทุกระเบิดขนาดใหญ่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการโจมตีโรงงานดังกล่าว

ด้าน องค์การพลังงานปรมาณูของอิหร่าน ออกแถลงการณ์ ระบุว่า อิหร่านจะดำเนินกิจกรรมนิวเคลียร์ต่อไป แม้ว่าสหรัฐฯ จะโจมตีโรงงานสำคัญก็ตาม และจะไม่ยอมให้เส้นทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติซึ่งเป็นผลมาจากเลือดของผู้พลีชีพเพื่อนิวเคลียร์ต้องหยุดลง