“แม่ทัพภาคที่ 2” จ่อปิดอีก 2 ด่านที่เหลือ ด่านช่องสะงำ” จ.ศรีสะเกษ และ “ด่านช่องจอม” จ.สุรินทร์ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ด้าน “ทบ.” แจงปิดด่าน “ช่องสายตะกู” จ.บุรีรัมย์ เพื่อความปลอดภัยปชช. ส่วน “บัวแก้ว” ประกาศเตือนคนไทยหลีกเลี่ยงเดินทางไปกัมพูชา ขณะที่ “พท.” ยันรบ.แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยึดกรอบการทูต-ความมั่นคงอย่างรอบคอบ วอนปชช.ตรวจสอบข่าวก่อนลงสื่อออนไลน์

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ตามที่กองทัพบกได้ดำเนินมาตรการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา ในพื้นที่รับผิดชอบ ของกองกำลังบูรพา จ.สระแก้ว และพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี จ.บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงนั้น

ต่อมา วานนี้ 21 มิถุนายน 2568 กองทัพภาคที่ 2 ได้มีการประกาศปิดจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 21 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป  เพื่อให้สอดรับ กับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ และเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ทั้งนี้ ด้วยปัจจุบันมีความหลากหลายของข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบหรือสร้างความบิดเบือนในสังคม 

กองทัพบกขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยสามารถติดตามผ่านเว็บไซต์ของกองทัพบก www.rta.mi.th หรือทาง Facebook “กองทัพบก Royal Thai Army” และ “ทีมโฆษกกองทัพบก” ได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้มีรายงานว่าสาเหตุหนึ่งที่กองทัพบกต้องปิดจุดผ่อนปรนสายตะกู นี้คาด ว่า หลังจากพบ ทหารเขมร เคลื่อนไหว หลังแนวชายแดน สุรินทร์-บุรีรัมย์  คาดหวังผล ที่ปราสาทตาควาย สุรินทร์  หลัง นำนักท่องเที่ยวชาวเขมร ขึ้นมามากขึ้นๆ และ ขึ้นมาร้องเพลงแสดงสัญลักษณ์ ที่ประสาทตาควาย ก่อนหน้านี้

ต่อมา เมื่อเวลา 09.00น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้เตรียมลงนามปิดด่านช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ และด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ เนื่องจาก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งปิดถาวร 2 ด่าน คือ ช่องจอม - จุ๊กโกกี ทันที หลังไทยปิดด่านช่องสายตะกู เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ประกาศผ่านบัญชีเฟสบุ๊คว่า "ประกาศแจ้งเตือนคนไทย กรณีสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา" 

ประกาศดังกล่าวระบุว่า ตามที่เกิดสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศขอให้พี่น้องชาวไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางหากไม่มีความจำเป็นยิ่งยวด และสำหรับคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการดำรงชีวิตและหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นที่ชุมนุมและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ ในกรณีต้องการความช่วยเหลือหรือเหตุฉุกเฉิน สามารถติดต่อ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ หมายเลขฉุกเฉิน (+ 855 975 749 682) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ (+ 855 86 608 999) Call Center กรมการกงสุล (02 572 8442 ตลอด 24 ชม.) หรือผ่านแอปพลิเคชัน Thai Consular

ส่วนที่พรรคเพื่อไทย น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ส่วนของข้อพิพาทแนวชายแดนและความสัมพันธ์กับกัมพูชา รัฐบาลตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และดำเนินการภายใต้กรอบการทูตและความมั่นคงอย่างรอบคอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และความสงบเรียบร้อยของพี่น้องประชาชน ดังนั้นการแสดงออกของ อดีตผู้นำประเทศกัมพูชาเป็นพฤติกรรมที่ผ่านมาถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบต่อบรรยากาศของความร่วมมือของระดับทวิภาคีของทั้งสองประเทศ รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ที่ชัดเจน แต่ยังคนยึดหลักสงบและสันติเป็นที่ตั้ง โดยมาตรการต่างๆที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วเช่น เช่นการควบคุมเปิดปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทยกลุ่มบูชาตามกรอบของมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีการยื่นหนังสือประท้วงต่อเอกอัครราชทูตกัมพูชาปรำจำกัมพูชาประจำประเทศไทย และเชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชาให้กลับมาประชุมเพื่อที่จะหารือข้อราชการต่างๆ และตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และได้มีการควบคุมนักท่องเที่ยว และแรงงานไทยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมในฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะในธุรกิจกาสิโน การพนันออนไลน์ และมีการเพิ่มความเข้มงวดของการนำเข้าสินค้าบางรายการ เช่นมันสำปะหลัง กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบแล้ว

น.ส.ขัตติยา กล่าวว่า มาตรการเหล่านี้ จะจัดลำดับขั้นตามความเหมาะสม เพื่อที่จะรักษา ดุลยภาพของ 2 ประเทศไว้ได้และเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในระยะยาวด้วย จึงขอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้มีความประสงค์ที่จะให้สถานการณ์บานปลายแต่อย่างใด แต่จำเป็นต้อง ดำเนินนโยบายที่จำเป็นเพื่อจะปกป้องอธิปไตย และศักดิ์ศรีของประเทศไทย ซึ่งในช่วงเวลานี้ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านช่วยกันตรวจสอบรวมถึงส่งต่อข้อมูลด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ที่ถูกเผยแพร่ ในช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือสื่อออนไลน์ ซึ่งอาจผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศโดยไม่เจตนา ทางเราก็จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะดำเนินการต่างๆด้วยความรับรอบคอบ เพื่อความมั่นคงของประเทศ แล้วพี่น้องประชาชน

"ขอย้ำว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จะยังคงยืนหยัดทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ รวมทั้งจะรักษาความต่อเนื่องของฝ่ายบริหารต่อไป และจะไม่ปล่อยให้ข่าวลือหรือข้อมูลที่ผิดพลาดจากความเป็นจริงนั้นมาเป็นอุปสรรคในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชน"น.ส.ขัตติยา กล่าว