เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย” ระบุให้จับตา “4 คดีสำคัญ” ที่อาจทำให้รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ แม้จะไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม
คดีที่ 1: คดีชั้น 14 – ผู้นำตัวจริงหนีคุก แต่นายกฯ-รัฐมนตรีร่วมทำผิด?
คดีชั้น 14 คือหนึ่งในคดีสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีสถานะเป็น “ผู้นำตัวจริง” ตามการมองของหลายฝ่าย โดยเนื้อหาคดีเกี่ยวพันกับการใช้อำนาจสั่งการเจ้าหน้าที่รัฐโดยมิชอบ อันเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในระดับสูง
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอาจมีการพิจารณาบทบาทของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีบางคนที่เกี่ยวข้องกับการร่วมวางแผน แทรกแซง หรือสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมละเมิดกฎหมายร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ
ผลกระทบทางการเมือง:
หากศาลชี้ว่ามีการกระทำผิดจริง อาจนำไปสู่การวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิทางการเมือง และกลายเป็น “หลักฐานสำคัญ” ที่ฝ่ายค้านใช้เคลื่อนไหวในสภาและนอกสภาเพื่อเรียกร้องให้ยุบรัฐบาล ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ว่านางสาวแพทองธารเป็นเพียง “ตัวแทน” ของนายทักษิณในการบริหารประเทศ
คดีที่ 2: คดี มาตรา 144 - แก้ไขงบประมาณโดยมิชอบ
คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งมีการกล่าวหาว่ามีการเสนอแก้ไขรายการงบประมาณในลักษณะที่ เอื้อประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวก โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบด้าน
รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ห้ามมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดงบประมาณหากมีผลเอื้อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าการแก้ไขดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญจริง ก็อาจนำไปสู่ การพ้นจากตำแหน่งของ ครม. ชุดที่ 2 ทั้งคณะ
ผลกระทบทางการเมือง:
สถานะของรัฐบาลชุดปัจจุบันอาจพ้นสภาพโดยปริยาย โดยไม่ต้องรอนายกรัฐมนตรีลาออก หาก ส.ส. หรือ ส.ว. ถูกชี้ว่ามีความผิด อาจถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง และเสียที่นั่งในสภา กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณแผ่นดิน
คดีที่ 3: คดี ส.ว.ยื่นปลดนายกฯ - ขัดหลักสุจริตและมั่นคงชาติ
คดีนี้เกิดจากกรณีที่ สมาชิกวุฒิสภาหลายรายร่วมกันยื่นคำร้อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้พิจารณาว่านางสาวแพทองธาร มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160 และมาตรา 170 กล่าวคือ “ไม่สุจริต” และ “ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ”
จุดเริ่มต้นของคำร้องมาจากกรณีคลิปเสียงเจรจาระหว่างนางสาวแพทองธารกับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งมีเนื้อหาที่อาจเข้าข่าย ผิดกฎหมายความมั่นคงและละเมิดหลักการทูต ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย
ผลกระทบทางการเมือง:
หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่านายกฯ กระทำการขัดหลักสุจริตจริง จะส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที อาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ฝ่ายค้านและภาคประชาชนใช้เรียกร้องให้ “รีเซ็ต” การเมืองใหม่ ยิ่งทำให้ตำแหน่งของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกฯ “ชั่วคราวหรือเปราะบาง” มากขึ้น
คดีที่ 4: คดีอาญาจากคลิปเสียง - เจรจาอริราชศัตรู
คดีนี้เป็นการยื่นฟ้องโดยกลุ่มรวมพลังแผ่นดินต่อศาลอาญา โดยอ้างว่าพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีแพทองธารในการเจรจากับสมเด็จฮุน เซน เข้าข่ายกระทำการเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร
หัวใจของข้อกล่าวหาอยู่ที่เนื้อหาคลิปเสียง ซึ่งบางช่วงอาจตีความได้ว่า นายกรัฐมนตรีให้คำมั่นหรือหารือเรื่องผลประโยชน์กับบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็น “อริราชศัตรู” ตามมาตรา 113 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นข้อหาอุกฉกรรจ์ที่เกี่ยวข้องกับการทรยศต่อประเทศ
ผลกระทบทางการเมือง:
หากศาลอาญารับฟ้องคดีนี้ จะถือเป็น คดีประวัติศาสตร์ที่นายกรัฐมนตรีต้องขึ้นศาลในระหว่างดำรงตำแหน่ง ภาพลักษณ์รัฐบาลจะได้รับความเสียหายรุนแรงทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ อาจกระตุ้นให้เกิดการ ชุมนุมประท้วงในวงกว้าง และเร่งการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจ
รัฐบาลเดินหน้าไม่ได้ แม้แพทองธารไม่ลาออก
ทั้ง 4 คดีที่กล่าวมาข้างต้นล้วนมีน้ำหนักทางกฎหมาย และศาลที่เกี่ยวข้องอยู่ในระดับสูงสุดของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลอาญา
หากเพียง 1 ใน 4 คดีได้รับการวินิจฉัยว่า “มีมูลความผิด” ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้รัฐบาลต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ หรือแม้แต่ทำให้สถานะของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกฯ “สิ้นสุดลงตามกฎหมาย”
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในสถานการณ์เช่นนี้ การไม่ลาออกของนายกรัฐมนตรี อาจไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน เพราะแม้ไม่ยุบสภา กลไกตุลาการและรัฐธรรมนูญ ก็สามารถ “บีบบังคับให้รัฐบาลยุติบทบาท” ได้
แนวโน้มและความเป็นไปได้ทางการเมือง
1. รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะยิ่งอ่อนแอลง เมื่อเจอแรงกดดันจากคดีความ และการชุมนุมของประชาชน
2. พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคอาจถอนตัว หากมองว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีอนาคตและจะดึงตนเองให้ตกต่ำไปด้วย
3. ฝ่ายค้านอาจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพิ่มแรงกดดันทางการเมืองควบคู่กับคดีความในศาล
4. ผู้มีอำนาจนอกรัฐบาล เช่น กองทัพ หรือสถาบันตุลาการ อาจแสดงบทบาทมากขึ้นในการประคับประคองประเทศไม่ให้เข้าสู่ความวุ่นวาย
รัฐบาลแพทองธารอยู่ใน “กับดักทางกฎหมาย”
เมื่อดูจากบริบทของทั้ง 4 คดี จะเห็นได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร กำลังเผชิญกับ “กับดักทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ” ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าแรงกดดันจากฝ่ายค้านหรือมวลชนเสียอีก
การไม่ลาออก อาจไม่ใช่ความกล้าหาญหรือความมั่นคงทางการเมือง แต่เป็นเพียงการประวิงเวลาในขณะที่กลไกทางกฎหมายกำลังค่อย ๆ รัดแน่นขึ้น
ดังนั้น แม้นางสาวแพทองธารจะไม่ลาออก แต่หากหนึ่งในสี่คดีมีมติจากศาลให้มีความผิดจริง รัฐบาลนี้ก็อาจ “ไปต่อไม่ได้” อย่างที่ ดร.ดิเรกฤทธิ์ เตือนไว้