เข้าสู่ “ฤดูร้อน” หรือ “คิมหันตฤดู” อย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ กลุ่มประเทศที่อยู่ทางซีกโลกเหนือ
โดยในกลุ่มประเทศดังกล่าว ก็จะเผชิญกับฤดูร้อน ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 21 กันยายน ก่อนเข้าสู่ “สารทฤดู” หรือ “ฤดูใบไม้ร่วง” ต่อไป
ในระหว่างนี้ หลายประเทศในซีกโลกเหนือข้างต้นก็จะผจญกับสภาพอากาศร้อน จากคลื่นร้อนที่ถาโถมเข้ามาตามช่วงฤดูกาลของมัน
ส่งผลให้แต่ละคน ต่างก็หาวิธีคลายร้อนกันสารพัด โดยหนึ่งในสาพัดวิธีที่ว่านั้น ก็คือ การหาขนมของหวาน อาหารว่างเย็นๆ มารับประทาน ซึ่งหนึ่งในเมนูคลายร้อนยอดฮิต ก็คือ “ไอศกรีม” หรือ “ไอติม” นั่นเอง
เมนูนี้ต้องบอกว่า เป็นชื่นชอบโปรดปราน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หลายคนก็แอบฝืนคำสั่งหมอ ขอลิ้มรสความอร่อยจากไอศกรีมสักนิดนึงก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ทว่า เมนูไอศกรีมในปีนี้ ผู้ซื้อรับประทานอาจจะต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายแพงกว่าที่เคย
สาเหตุปัจจัยนั้นหล่ะหรือ? ก็มาจาก “มะพร้าว” อันเป็นวัตถุดิบส่วนผสมหลัก ในการทำไอศกรีม มีราคาแพงขึ้น นั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เป็นกะทิ เนื้อมะพร้าว และน้ำมันมะพร้าว ที่มีอยู่ในไอศกรีม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “น้ำมันมะพร้าว” จัดว่าเป็นส่วนผสมสำคัญของไอศกรีม ชนิดที่แทบจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว ในวงการอุตสาหกรรมการทำไอศกรีม
ทั้งนี้ ก็ด้วยน้ำมันมะพร้าว มีจุดหลอมเหลวสูง เมื่อนำไปเป็นส่วนผสมของไอศกรีม ก็จะช่วยทำให้ไอศกรีมแข็งตัวได้นานขึ้นในสภาพของอุณหภูมิห้อง นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อรสชาติและเนื้อสัมผัสของของไอศกรีมอีกต่างหากด้วย จึงทำให้น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมไอศกรีม
แต่เมื่อน้ำมันมะพร้าวแพงขึ้น ก็ส่งผลทำให้ราคาไอศกรีม ต้องขยับแพงขึ้นตามมา
ตามการซื้อขายน้ำมันมะพร้าวในตลาดโลกที่เมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งตลาดน้ำมันมะพร้าวเมืองรอตเตอร์ดัมแห่งนี้ ก็ถูกจัดให้เป็นเกณฑ์มาตรฐานของอุตสาหกรรมน้ำมันมะพร้าวโลก ซึ่งในการซื้อขายเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่า ราคาน้ำมันมะพร้าว พุ่งทะยานขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยตัวเลขของราคาการซื้อขายน้ำมันมะพร้าวของช่วงเดือนที่แล้ว ก็ขึ้นไปอยู่ที่ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวกว่า 91,337 ล้านบาท หรือเกือบ 1 แสนบาทเลยทีเดียว สำหรับ ราคาน้ำมันมะพร้าวน้ำหนัก 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม
ราคาข้างต้นเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีก่อนหน้าถึง 2 เท่า
เหล่าบรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า ราคาน้ำมันมะพร้าวในตลาดโลก จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก
เมื่อ “น้ำมันมะพร้าว” ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญของไอศกรีม มีราคาทะยานพุ่งสูงขึ้น ก็พลอยทำให้ผลิตภัณฑ์ไอศกรีมมีราคาแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ยกตัวอย่าง ตามการเปิดเผยของ “อาร์ไอเอฟที” ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ ในประเทศอังกฤษ เปิดเผยการสำรวจติดตามสถานการณ์การซื้อขายไอศกรีมในประเทศอังกฤษ พบว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งพ้นผ่านมา อันเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่น้ำมันมะพร้าวทะยานพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์นั้น ได้ทำให้ราคาไอศกรีมในอังกฤษ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 7.6
เหตุปัจจัยที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีราคาแพงขึ้นนั้น ก็เป็นผลมาจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน จนเป็นเหตุให้เกิดสภาพอากาศวิปริตแปรปรวนตามมา นั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือร้อนแล้งอย่างผิดปกติ จนทำให้ผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ ตกต่ำ ซึ่งรวมถึง “มะพร้าว” ด้วย
นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อน ก็ยังทำให้เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงขึ้น จนสร้างความเสียหายให้แก่พืชไร่ทางการเกษตร แม้กระทั่งไร่ฟาร์มมะพร้าวในประเทศที่มีผลิตผลการทำเกษตรไร่ฟาร์มมะพร้าวอย่างเป็นล่ำเป็นสันในเชิงพาณิชย์
โดยประเทศที่มีผลิตผลการปลูกมะพร้าวระดับแถวหน้าของโลกนั้น ก็อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์เรา นั่นเอง
นั่นคือ “อินโดนีเซีย” และ “ฟิลิปปินส์”
ตามการจัดอันดับโลก ก็ระบุว่า “อินโดนีเซีย” มีผลิตผลการเกษตรเกี่ยวกับมะพร้าวมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยตัวเลขที่ไม่น้อยกว่า 17.20 ล้านตัน
ส่วน “ฟิลิปปินส์” ตามมาเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ด้วยตัวเลขการผลิตอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านตัน
อย่างไรก็ดี ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศทั้งสอง ถูกภาวะโลกร้อนเล่นงาน จนส่งผลกระทบต่อผลิตผลของมะพร้าวภายในประเทศให้ลดน้อยถอยลง
ไล่ไปตั้งแต่ “อินโดนีเซีย” ที่ผจญชะตากรรมกับสภาพอากาศร้อนที่สุด นับตั้งแต่ทางการจัดเก็บบันทึกข้อมูล หรือในรอบ 4 ทศวรรษเลยทีเดียว จนทำให้มีผลิตผลมะพร้าวลดลง
ขณะที่ “ฟิลิปปินส์” ก็เผชิญกับวาตภัย พายุไต้ฝุ่น ตลอดจนพายุที่มีขนาดความเร็วลมรุนแรงหลายลูก หลายระลอก จนต้นไม้พืชไร่ต่างๆ รวมถึงต้นมะพร้าวได้รับความเสียหาย
นอกจากมะพร้าวแล้ว ผลผลิตโกโก้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งของส่วนผสมที่สำคัญในการทำไอศกรีม ก็ลดน้อยลง อันสืบเนื่องของผลภาวะโลกร้อน จนมีราคาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรกับการซ้ำเติม ผลักราคาไอศกรีมให้แพงเพิ่มขึ้นไปอีก