วันที่ 20 มิ.ย.68 ที่ศาลาว่าการ กทม. นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวความคืบหน้านโยบายห้องเรียนดิจิทัลว่า การจัดทำห้องเรียนดิจิทัลคำนึงถึงประสิทธิภาพและความสะดวกทั้งของผู้เรียนและผู้สอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ (โน้ตบุ๊ก) เป็นหลัก สามารถจัดเก็บข้อมูลแทนเอกสาร เช่น เอกสารการเรียน การบ้าน และข้อมูลอื่น ๆ ให้นักเรียนสามารถเข้าถึงได้สะดวก ไม่สูญหาย โดยมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในระบบคลาวด์ถึง 100 เทระไบต์ (TB) นอกจากนี้ ภายในโน้ตบุ๊ก ประกอบด้วย โปรแกรม Google Meet สามารถจัดประชุมรูปแบบวิดีโอหรือเรียนพร้อมกันได้ถึง 100 คน และโปรแกรม Google Classroom สามารถส่งงานและตรวจการบ้านได้สะดวกทั่วถึง

โดยเทคโนโลยีดังกล่าว มุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งในการสร้างการเรียนการสอนแบบ Active Learning ก่อให้เกิดการออกแบบการเรียนรู้หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น การหาข้อมูลแหล่งอ้างอิงเพื่อสนับสนุนคำตอบของตนเอง ให้การเรียนมีมิติมากกว่าการนั่งฟังบรรยาย เน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วม เช่น การถามตอบ การค้นคว้าข้อมูล การอธิบายสรุป การจัดกิจกรรมแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม และกิจกรรมอื่น ๆ ในโรงเรียนควบคู่ไปด้วย

นายศานนท์ กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้ เนื่องจากปัจจุบันเด็กเรียนรู้จากเทคโนโลยีนอกห้องเรียนมากกว่าในโรงเรียน ดังนั้น โรงเรียนต้องปรับตัว กทม.จึงมีนโยบายห้องเรียนดิจิทัล โดยเริ่มนำร่องในปี 2566 ที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เขตบางเขน จำนวน 1 ห้องเรียน ปรากฏว่าผลการเรียนดีขึ้นทุกวิชา ในปี 2567 จึงขยายเพิ่มเป็น 10 โรงเรียน ล่าสุดเพิ่มที่โรงเรียนราชบพิธ ปัจจุบันมีทั้งหมด 11 โรงเรียน ส่วนในปี 2568 ได้รับงบประมาณในการจัดทำห้องเรียนดิจิทัล ในระดับชั้น ป.4 และ ม.1 ในโรงเรียน 437 แห่งทั่วกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ยังใช้ ai มาช่วยสอนในวิชาที่ยากที่สุด เช่น วิชาภาษาอังกฤษ โดยช่วยฝึกพูดฝึกเขียน เนื่องจากการใช้ ai สามารถฝึกเด็กได้พร้อมกันและทั่วถึงกันทุกคน ทั้งเด็กเก่งและไม่เก่ง จากการทดลอง 6 โรงเรียน ในห้องเรียนที่มีการเรียนดีที่สุด พบว่า ภาษาอังกฤษดีขึ้นร้อยละ 37 ซึ่งในปี 2568 จะขยายแนวทางดังกล่าวให้ครบทุกโรงเรียน นอกจากนี้ยังใช้ ai มาช่วยเสริมศักยภาพและพัฒนาการสอนของครู โดยแนวทางทั้งหมดอยู่ระหว่างขยายให้ครบทุกโรงเรียนในสังกัด

อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีมาใช้ ต้องพัฒนาควบคู่ด้านอื่นด้วย เช่น กทม.เริ่มปรับหลักสูตรในปี 2567 ถือเป็นการปรับหลักสูตรในรอบ 16 ปี โดยการลดเวลาเรียนวิชาหลักในห้อง เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัตินอกห้องมากขึ้น เช่น การทำกิจกรรม การทำโครงการต่าง ๆ เพื่อให้เด็กได้ลงมือทำจริง นอกจากนี้ยังเพิ่มวิชาการเงิน และวิชาสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ เป็นครั้งแรกในปี 2567 โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ เป็นต้น รวมถึงเปลี่ยนการประเมิน จากการประเมินผลรายวิชา เป็นการประเมินทักษะและสมรรถนะ

ด้านนางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา (สนศ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ครูในโรงเรียนสังกัด กทม.แล้ว 620 คน จาก 111 โรงเรียน ให้สามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้และผลิตสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จะขยายผลการพัฒนาครู 437 โรงเรียน โดยมีครูที่เข้าร่วมโครงการ 1,400 คน เน้นการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ครูสามารถบูรณาการเทคโนโลยีจัดการเรียนรู้ได้อย่างเชี่ยวชาญและเหมาะสมกับผู้เรียน และจัดซื้อคอมพิวเตอร์สำหรับห้องเรียนดิจิทัล 1,630 เครื่อง เช่า 21,533 เครื่อง เพิ่มให้ครบทั้ง 437 โรงเรียน

นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับ Google Education ประเทศไทย จัดอบรมครูเกี่ยวกับการนำ AI ไปใช้ในการสอน หลักสูตร Generative AI for Education & Gemini Academy ในวันที่ 25 และ 27 มิ.ย. 68 ให้แก่ครู 58 คน ที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เพื่อให้ครูใช้เทคโนโลยี AI ในการวางแผนการสอน ออกแบบกิจกรรมการสอนในชั่วโมงเรียน รวมทั้งการจัดทำแบบฝึกหัดที่สอดคล้องกับบทเรียนผ่านการใช้ Gemini AI โดยมีแผนขยายการอบรมแก่ครูทั้ง 437 โรงเรียนในปีการศึกษา 2568

ทั้งนี้ หากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดหาชุดความรู้ด้าน AI เพื่อจัดทำเป็นคู่มือการใช้ AI ประกอบการสอน หรือเป็นเอกสารเพิ่มเติมประกอบการเรียนเรียบร้อยแล้ว สนศ. จะประสาน สสวท. เพื่อนำมาพิจารณาและประยุกต์ใช้จัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัด รวมทั้ง สนศ. ได้หารือกับ Microsoft ประเทศไทย เพื่อให้เป็นภาคีสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่การพัฒนาการศึกษาโรงเรียนในสังกัด กทม.ต่อไป