“ปฏิญญาช็อกมินต์”  ถูกลบโดยไม่มีใครไยดี ต่อกัน ภาพความชื่นมื่นระหว่าง “เพื่อไทย” จับมือกับ “ภูมิใจไทย” จัดตั้งรัฐบาล เมื่อปี 2566 แม้ในครั้งนั้นพรรคเพื่อไทยจะโดนโจมตีว่าเป็นการข้ามขั้วทิ้ง “พรรคก้าวไกล” แล้วหันมือร่วมมือกับ “พรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ก็ตามแต่ทุกฝ่ายก็ยังยิ้มได้

วันนี้ชัดเจนแล้วว่า  69 เสียงของพรรคภูมิใจไทย ต้องออกไปเป็น “ฝ่ายค้าน” เมื่อไม่มีใครยอมถอยให้กัน โดยเฉพาะ เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี มีประกาศิต ต้องได้ “กระทรวงมหาดไทย” เอาไว้ครอบครองเท่านั้น โดยแสดงความจำนงชัดเจนว่า ใกล้เลือกตั้งแล้ว พรรคเพื่อไทยขอคุมบ้าง

เมื่อภูมิใจไทย เลือกที่จะไม่รับข้อเสนอ ผ่านสูตร “2แลก1” นั่นคือ พรรคเพื่อไทย จะยกกระทรวงสาธารณสุขและเก้าอี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้แทน เพราะสำหรับพรรคภูมิใจไทยแล้ว การคุมกระทรวงมหาดไทย คือการคุมความได้เปรียบในทางการเมือง โดยเฉพาะการกำกับดูแลกลไก ในกระทรวงมหาดไทยที่ครอบคลุมไปทั่วประเทศ ย่อมจะสร้างความได้เปรียบ เสียเปรียบทางการเมือง เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกขณะ

การประชุมครม.เมื่อวันอังคาร 17 มิถุนายน 68 คือการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ระหว่าง พรรคภูมิใจไทยกับเพื่อไทย เดินมาถึงทางตัน ยากที่จะไปต่อ จึงเหลือทางออกเดียว นั่นคือ “ต่างคน ต่างไป” 

เพราะงานนี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกชัดเจนว่า ไม่รับข้อเสนอ และพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านนับจากนี้ โดยที่ นายกฯแพทองธาร และเพื่อไทย ไม่จำเป็นต้องขีดเส้นตายให้เวลาตัดสินใจ 48 ชั่วโมง

โดยอนุทิน ยังทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า ไม่คิดว่าจะต้องมาถึงทางแยกกับรัฐบาลเพื่อไทย แต่เมื่อไม่สามารถรักษา “ข้อตกลง” ระหว่างกันเอาไว้ได้ ก็ถือว่าทุกอย่างจบแล้ว ขณะเดียวกัน “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.กลาโหม  ยืนยันว่าในการเจรจาร่วมตั้งรัฐบาล เมื่อปี 2566 ไม่มีการพูดเรื่องโควตากระทรวง

ทั้งนี้เบื้องลึกเบื้องหลัง ที่ทักษิณ ต้องการได้กระทรวงมหาดไทย มาคุมเอาไว้ในมือ ผ่านคนของพรรคเพื่อไทยนั้น เหตุผลสำคัญ เหนือไปกว่าการได้คุมกลไกฝ่ายปกครองทุกระดับเพื่อรองรับการเลือกตั้งรอบหน้าแล้ว สาระหลักยังอยู่ที่การใช้อำนาจ “มท.1” เพื่อผลักดัน “ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ให้ผ่านสภาฯ ออกมาให้ได้ต่างหาก  !!!

น่าสังเกตว่าหลังจากที่ทักษิณส่งสัญญาณว่าอยากได้กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 30 พ.ค.68 ที่ผ่านมา ใช้เวลาไม่ถึง1เดือนเป้าหมายนั้นก็สามารถบรรลุผล  และยังเป็นการเปิด “เกมบุก” ฝั่งพรรคภูมิใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ไม่ว่าจะเป็นการกดดัน พรรคภูมิใจไทย ผ่านการบี้ไปยัง “สว.สายสีน้ำเงิน” ด้วยคดีฮั้วเลือกสว. 2567 ซึ่งล่าสุดปรากฎว่า บรรยากาศเข้าสู่ขั้นวิกฤตสูงสุดเมื่อ กกต. ออกหมายเรียกแกนนำพรรคภูมิใจไทย เข้าชี้แจง โดยหนึ่งในรายชื่อลอตนี้ปรากฎชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด  ผู้มีบารมีเหนือพรรคตัวจริง

เท่ากับว่านี่คือการส่งสัญญาณ กดดันขั้นสูงสุด เพราะต้องการพุ่งตรงไปที่เนวิน ยังรวมไปถึง อนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เมื่อคดีฮั้วเลือกสว. ถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการขั้นเด็ดขาด เช่นนี้ ทางฝั่งภูมิใจไทยสู้กลับด้วยการโชว์พลังดูด ปล่อยภาพ แกนนำพรรครับประทานอาหาร กับ “สันติ พร้อมพัฒน์” แกนนำกลุ่มเพชรบูรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ

นัยว่าส่งสัญญาณให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทย มีตัวเลขสส. ในมือทั้งที่เปิดหน้าและ “ฝากเลี้ยง” เอาไว้ที่พรรคฝ่ายค้าน ไม่ใช่เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการปรับครม.เท่านั้น แต่ภูมิใจไทยยังต้องการแสดงให้เห็นว่า เมื่อพรรคเพื่อไทย ใช้ “พรรคกล้าธรรม” พรรคสาขา ไปดึงสส.ฝ่ายค้านเข้าสังกัดได้ พรรคภูมิใจไทยก็ทำได้ไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ดี ทางด้านพรรคเพื่อไทยเอง มีรายงานว่า สส.ในพรรค ที่เชียร์ให้ยึดกระทรวงมหาดไทย คืนมาเป็นของพรรคนั้น ต่างเชื่อมั่นว่าแม้ภูมิใจไทย จะออกไปเป็นฝ่ายค้าน แต่ปัญหารัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำ” จะไม่กระทบอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยที่สุด กลุ่มเพชรบูรณ์ของสันติ ที่ไปรับประทานอาหารกับเนวิน นั้นอาจไม่ได้เลือกสวิงไปอยู่กับภูมิใจไทย หากเพื่อไทย มี “ข้อเสนอ”ที่ดีกว่า เพราะอย่างที่สุดการได้เป็น “รัฐบาล” ก็ย่อมดีกว่าไปเป็น “ฝ่ายค้าน” อยู่แล้ว

การแตกหักระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ครั้งนี้  หลังจากที่รัฐบาลผสม บริหารประเทศไปได้กว่า 2 ปี และ จากนี้คือการ “นับถอยหลัง”  เข้าสู่โหมดเตรียมเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจเร็วกว่าปี 2570 หากรัฐบาลแพทองธาร ไม่สามารถอยู่ครบเทอมนั้น กำลังถูกประเมินว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้มานั้น จะคุ้มเสียหรือไม่

เพราะพรรคเพื่อไทย ในยามที่อ่อนแอ ทั้งรัฐบาลและตัวผู้นำอย่างนายกฯแพทองธาร อยู่ในภาวะถดถอย ประชาชนขาดความเชื่อมั่น อย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ซึ่งนายกฯแพทองธาร มีท่าทีอ้อนข้อยอมให้กับกัมพูชามิหนำซ้ำยังพาดพิง “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าคนละฝั่งกับรัฐบาลไทย

คงไม่ต้องบอกว่า สถานการณ์ของนายกฯแพทองธาร เวลานี้นั้นอยู่ในสภาพเสียหายยับเยินมากแค่ไหน  ยังไม่นับเสียงขับไล่ จี้ให้แพทองธาร รีบลาออกจากนายกฯที่กระหึ่ม ด้วยความโกรธแค้น จากคนไทยทั่วประเทศ

การแตกหัก แยกทางกันเดินระหว่างภูมิใจไทยกับเพื่อไทย ในห้วงโมงยามนี้ ระหว่างเนวิน กับทักษิณ ใครควร โล่งอกมากกว่ากัน !?