หมายเหตุ : “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตสส.พัทลุง  วิเคราะห์เจาะลึก กับรายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ถึงสถานการณ์การเมือง ในท่ามกลางกระแสข่าวการปรับครม.การต่อรองทางการเมืองในรัฐบาลผสม ที่สัมพันธ์กับท่าทีและคดีความ “ชั้น14” และ “คดีม.112” ที่เกี่ยวพันกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี อันจะมีผลต่อรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” หรือไม่ และอย่างไร

โดยเฉพาะเมื่อแพทยสภา มีมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวทักษิณ ไปรักษาตัวนอกเรือนจำ จะกลายเป็น “ชนวน” ทำให้ “ม็อบต่อต้าน” จุดติดหรือไม่ รายการออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 มีสาระที่น่าสนใจดังนี้

- กรณีที่ประชุมแพทยสภา ใช้เสียงเกินกว่า 2 ใน 3 เพื่อยืนตามมติเดิม ให้ลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวคุณทักษิณ ออกไปรักษาตัวที่ ร.พ.ตำรวจ เท่ากับ หักการวีโต้ของ รมว.สาธารณสุข

พบว่ามีเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ไปมากเหมือนกัน จนเกือบจะเป็นเอกฉันท์ ซึ่งเสียงที่มากขนาดนี้สามารถยืนยันข้อเท็จจริงที่หนักแน่นประการหนึ่งว่า แพทยสภาไปตรวจสอบการดำเนินการของแพทย์ทั้ง3 ราย เป็นไปตามจรรยาบรรณ เป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่  เมื่อเสียงที่ออกมาวีโต้ ตัวคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ขนาดนี้ มีน้ำหนักเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าการพิจารณาของแพทยสภา เรื่องวินัย เรื่องจรรยาบรรณ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้นถูกต้องแล้ว

ผมคิดว่าการยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นเช่นนี้ จะเป็นผลไปสู่การพิจารณาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีชั้น 14 ด้วย

-มีหลายคนที่ชื่นชมคุณสมศักดิ์ ในแง่ของการเป็นลูกน้องที่ดี ที่ช่วยคุณทักษิณ จุดนี้จะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานกับแพทย์ต่อไปหรือไม่ แม้อีกด้านหนึ่งมองว่าเพราะใกล้ช่วงปรับครม. คุณสมศักดิ์ ต้องรักษาเก้าอี้เหมือนกัน

คุณสมศักดิ์ ถือได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี มาตลอด และน่าจะเป็นรัฐมนตรีที่ยาวนานที่สุดในประเทศไทย สำหรับผมเองคิดตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าคุณสมศักดิ์ ต้องวีโต้แน่นอน ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม คนที่ชื่นชอบ หรือคนที่พอใจการกระทำของคุณสมศักดิ์ ก็คือคุณทักษิณ แต่คุณสมศักดิ์ อาจจะไม่ได้คิดอีกมุมหนึ่งว่าการกระทำแบบนั้น มันก่อให้เกิดรอยร้าวในการบริหารงานกระทรวงสาธารณสุข

-จากมติแพทยสภาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีผลมาจากกรณีชั้น 14 และตัวรมต.สมศักดิ์ วีโต้ อาจกลายเป็นการโยนเข้ากองไฟ ทำให้มวลชนฝ่ายต่อต้านคุณทักษิณ จะจุดติดขึ้นมาหรือไม่

สำหรับม็อบมวลชนใหญ่ที่นอนวันฝันคืน ม็อบจำนวนมากมายหลายๆหมื่น คน ผมคิดว่ามันคงไม่เกิดขึ้นแล้ว เพราะการต่อสู้ทางการเมืองวันนี้ ไม่ได้ใช้กำลังคนออกไปชุมนุม หรือออกไปประท้วง เหมือนในอดีต ซึ่งการเปลี่ยนความคิดของคนในสังคม วันนี้มันผ่านสื่อโซเชียลทั้งนั้น จึงไม่น่าจะมีการใช้กำลังคนเข้าไปกดดันอีกแล้ว

แต่ต้องยอมรับว่าการกระทำของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา อาจจะเป็นการปลุกคนที่มาชุมนุมประท้วงมีปริมาณมากขึ้น แต่จะไม่มีโอกาสเห็นม็อบใหญ่เหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล

- ที่จะเป็นอุปสรรคต่อรัฐบาล จะกระทบไปถึงนายกฯแพทองธาร ที่กำลังรับมือกับศึกหลายด้านเวลานี้ด้วยหรือไม่

ก็เป็นส่วนหนึ่ง  แต่อีกส่วนหนึ่งที่คิดว่าจะเกิดขึ้นคือเวลาของรัฐบาลเริ่มนับถอยหลังแล้ว รัฐบาลบริหารประเทศมา 2ปีแล้ว ความยากของรัฐบาลผสม จะอยู่ที่ว่าเมื่อใกล้จะหมดวาระ ก็จะอยู่ยากมากขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรค พยายามตีตัวออกห่าง ถ้ากระจายกันหนาแน่น กลมเกลียวกันอย่างนี้ไปจนถึงวันสุดท้ายนั้นเป็นไปได้ยากมาก สำหรับการเมืองไทย

ดังนั้นเมื่อมีการกระทำ มีร่องรอยของรัฐบาล หรือของพรรคใดก็ตาม ที่ประเมินดูแล้ว พบว่าจะก่อให้เกิดปัญหาในการเลือกตั้งในครั้งหน้า หากพรรคร่วมรัฐบาลนั้นๆไม่แสดงทัศนะทางการเมืองให้ชัดต่อประเด็นใด ประเด็นหนึ่ง พรรคการเมืองจะไม่อยู่ร่วมกันทั้งหมด ก็จะถือโอกาสออกมาจากพรรคร่วมรัฐบาล และจะใช้เหตุผลนั้นๆไปหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ดังนั้นคิดว่าประเด็นที่เกิดขึ้นนี้ กรณีแพทยสภา หรือเรื่องของคุณทักษิณ จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มสังเกตแล้วว่า ประเด็นเหล่านี้จะมีผลต่อจิตวิทยามวลชนหรือไม่ ถ้าประชาชนแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยมากๆ พรรคร่วมรัฐบาล ก็พร้อมที่จะออกมา

-สิ่งที่เกิดขึ้นทางการเมืองเวลานี้ เมื่อวันที่ 12 และ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา และจะไปถึงการพิจารณาคดีม.112 ที่คุณทักษิณ เป็นจำเลย จะมีผลต่อความได้เปรียบ เสียเปรียบของคุณทักษิณ พรรคเพื่อไทยและนายกฯแพทองธาร หรือไม่  การปรับครม.รอบนี้ พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายกำหนดเกมได้หรือไม่

คิดว่ายาก เนื่องจากในทางการเมือง เขารู้กันอยู่แล้วว่าเวลาปรับครม. แต่ละครั้งจะไม่สามารถทำให้รัฐบาลเหนียวแน่นไปได้มากกว่าเดิมเลย การปรับครม.แต่ละครั้งจะทิ้งร่องรอยความขัดแย้งเอาไว้ และการปรับแต่ละครั้ง มีทั้งคนผิดหวัง และคนสมหวัง ตอนที่ตั้งรัฐบาล คนที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ก็ผิดหวังอยู่แล้ว แต่นานๆไปก็เริ่มลืม แต่เมื่อจะมีการปรับขึ้นมาอีก ก็ทำให้คนมีความหวัง และอาจจะผิดหวังอีก ก็มีความคุกรุ่นอีก

เพราะฉะนั้นการปรับครม.แต่ละครั้งทำให้เกิดรอยร้าวทั้งสิ้น และจากนี้เป็นต้นไป แต้มต่อทางการเมือง ไม่ได้อยู่ในมือของคุณทักษิณ อีกแล้ว  คุณทักษิณ เริ่มเสียเปรียบในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั้น 14 หรือคดีม.112 ซึ่งในราวปลายปีนี้ 2568 ก็จะเริ่มพิจารณากันแล้ว รวมไปถึงความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านที่กลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล และของคุณทักษิณ ทั้งสิ้น

-ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยเองจะเล่นเกม ขู่ยึดกระทรวงมหาดไทยหรือการกดดันพรรครวมไทยสร้างชาติ เท่ากับคุณทักษิณ เปิดศึกหลายด้าน บนความมั่นใจว่าในมือมีพรรคกล้าธรรม เข้ามาช่วย

คุณทักษิณ มีวาระซ่อนเร้น อยู่ที่เรื่องการผลักดันร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เรื่องการพูดถึงการปรับรมว.มหาดไทย จุดใหญ่ใจความอยู่ที่ต้องการรวบอำนาจ ต้องการให้คนของพรรค ไปเป็นรมว.มหาดไทย เพื่อไปกำกับและผลักดันเรื่องนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ให้สำเร็จ เพราะที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทย ยังไม่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนนโยบายเรื่องนี้หรือไม่ ดังนั้นคุณทักษิณ จึงต้องการรัฐมนตรีของพรรคเข้าไปอยู่กระทรวงนี้เพื่อผลักดันนโยบายอย่างเต็มกำลัง จึงต้องการเอาคุณอนุทิน ออกไป

-คุณเนวิน เองอาจจะไม่ยอม ล่าสุดพรรคภูมิใจไทยเองก็เดินหน้าดึงสส.ฝ่ายค้าน เข้ามาเสริม อย่างกลุ่มเพชรบูรณ์ ของคุณสันติ พร้อมพัฒน์  แกนนำพรรคพลังประชารัฐ

ผมเคยบอกมาตั้งแต่แรกๆแล้วว่า คุณอนุทิน ไม่ยอมปล่อยกระทรวงมหาดไทยให้กับพรรคเพื่อไทยแน่นอน พอคุณอนุทิน พูดถึงเรื่องปฏิญญาช็อคมิ้นต์ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ยอมปล่อย เมื่อพรรคภูมิใจไทย พยายามเอากำลังเสริมเข้ามา ทางฝ่ายร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคกล้าธรรม ก็ดึงสส.จากพรรคอื่นเข้ามาด้วย เพื่อมาหนุนรัฐบาลมากขึ้น

เป็นการวัดกำลังกัน ระหว่างสองฝ่าย แต่มันคือการเมืองน้ำเน่า และการเมืองน้ำเน่าแบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นในปี 2568 อีกแล้ว เพราะการไปสส.จากบางพรรคการเมือง จนทำให้พรรคนั้นๆต้องล้มหายตายจากไป คนที่มีมารยาท ไม่ควรทำเลย แต่เมื่อมันเป็นการเมืองน้ำเน่า ทั้งคุณอนุทินและร.อ.ธรรมนัส ก็พร้อมที่จะเล่นตามเกมนี้ เป็นการต่อรองทางอำนาจ

เราจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีการพัฒนาแล้ว นั่นคือการที่ห้ามไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งไปยุบรวมกัน เพราะการทำอย่างนั้นเท่ากับเป็นการซื้อพรรคทั้งพรรค ไม่ต้องซื้อสส.รายบุคคล แต่วันนี้ ความคิดของนักการเมือง มันไปไกลกว่ารัฐธรรมนูญ นั่นคือการทำให้พรรคแตก มีการขับกันพ้นพรรค แล้วไปสังกัดพรรคใหม่

วันนี้เราจะเห็นปรากฎการณ์ที่ว่ามีนักการเมือง พยายามอ้อนวอนหัวหน้าพรรค กราบกรานกรรมการบริหารพรรค ว่าขอให้ไล่ตนเองออกจากพรรค ซึ่งคนที่เป็นผู้บริหารของพรรค จะไม่ไล่ออก ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือ พรรคประชาชน มันเป็นการเมืองที่เป็นแบบอย่างไม่ได้ แต่นักการเมืองก็ทำกัน

-เวลานี้บอกได้หรือไม่ว่าการเมืองไทย กำลังติดล็อก ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณ เองหรือแม้แต่นายกฯแพทองธาร เองที่ติดล็อกจากคดีความ บวกกับวิกฤตศรัทธาจากประชาชน

นักการเมืองไทย ในยุคนี้เขาไม่คิดว่าตัวเองจะติดล็อค สามารถไปได้หมด  ไม่ถือสาว่า ขณะที่เขาอยู่พรรคนี้ แล้วพรรคแตกออกเป็นสองสามซีกแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนมันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ มันเกิดขึ้นได้ จะเห็นได้ว่าไม่มีใครว่าร.อ.ธรรมนัส เลยที่ไปทำให้พรรคพลังประชารัฐ แยกออกเป็นสองฝ่าย เช่นเดียวกัน กับที่เราไม่เห็นว่าจะมีคนต่อว่าคุณสันติ พร้อมพัฒน์ หรือคุณอนุทิน ที่ไปทำให้พรรคคนอื่นแตก ทั้งที่การเมืองนั้นจะต้องทำให้พรรคมีความเข้มแข็ง

เราจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีจุดเริ่มมาจากนายกฯแพทองธาร ที่ไปเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล แต่อีกเสี้ยวหนึ่งเขาไม่ยอมมา  หลังจากที่ทุกคนก็ทำตามที่นายกฯทำเอาไว้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าการเมืองไม่ได้ติดล็อคอะไร และเชื่อว่าจะมีนักการเมือง แบบนี้เกิดขึ้นอีกในวงจรการเมืองตลอดไป