การแต่งตั้ง “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ( ศบ.ทก. ) อาจดูเหมือน เป็นการให้อำนาจและบทบาทความสำคัญกับ พล.อ.ณัฐพล
ยังคงเป็นที่น่าสังเกตว่า ศบ.ทก. นีั แม้จะยึดโครงสร้างเดียวกับศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินโควิดฯ แต่สมัย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
แต่ ศบ.ทก. ก็ไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการ แต่แค่เป็นหน่วยประสานงาน ทุกส่วนราชการเพื่อประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และทำหน้าที่ในการสื่อสารตอบโต้ ทำศึกโซเชียล มีเดีย ที่ฝั่งกัมพูชามี 2 พ่อลูกสมเด็จฮุนเซน และ พล.อ. ฮุนมาเนต เป็น แม่ทัพโซเชียลด้วยตนเองเพราะใช้เพจ Facebook ในการโพสต์สื่อสารแบบรัวๆ เยาะเย้ยและตอบโต้ ฝ่ายไทย
ศบ. ทก.ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุการณ์ในระยะสั้น ส่วนระยะยาวนั้น จะเป็นการสนับสนุนกระบวนการเจรจาแบบทวิภาคี และติดตามกระบวนการศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ทำหน้าที่สนับสนุนหากได้รับการร้องขอจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหวังผลทางการเมือง
โดยจะมีการประชุมทุกวันจันทร์-ศุกร์ ในช่วงเวลา 09.30 น. ยกเว้นวันอังคาร ที่จะมีการประชุม ประชุมในเวลา 13.30 น. โดยหลังการประชุมจะมีการแถลงข่าวและมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ NBT เพื่อสื่อสารตรงไปยังประชาชน
พล.อ.ณัฐพล เอง ก็เคยเป็น ผบ.ศปก.ศบค.ฯ เป็นกำลังหลักของ ศบค. โควิดฯ และเคยเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
แม้ว่าคราวนี้จะไม่ใช้การต่อสู้กับโรคอุบัติใหม่ แต่เป็นการต่อสู้กับภัยความมั่นคงจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ดังนั้นอำนาจในการตัดสินใจหรือมาตรการต่างๆจึงต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม สมช. หรือ ครม.ก่อน
แต่ทว่า ทำให้ พล.อ.ณัฐพล กลายเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหากับกัมพูชา เพราะในศูนย์นี้ก็มีฝ่ายกองทัพ รวมอยู่ด้วยในฐานะที่เป็น รมช.กลาโหมและเป็นทหารทหารเก่า จึงสามารถที่จะพูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพได้โดยง่าย เป็นการลดระยะห่างระหว่างกองทัพกับรัฐบาลและแก้ปัญหาความไม่เป็นหนึ่งเดียวกันในห้วงที่ผ่านมา
อีกทั้ง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม พลเรือน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง ชายแดน และการทหาร อีกทั้งถูกโจมตีอย่างหนักถึงขั้นมีกระแสกดดันจากสังคมให้เปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม
พล.อ.ณัฐพล จึงกลายเป็นเสมือน ข้อต่อ ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพได้เป็นอย่างดีในสถานการณ์วิกฤตินี้
แต่ด้วยการเป็นนายทหาร สายพิราบ สายบุ๋น ตรงกับแนวทางของรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้เกิดการใช้กำลังทางทหารหรือการสู้รบกัน จึงทำให้ พล.อ.ณัฐพล ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้
แต่ในขณะเดียวกัน พล.อ.ณัฐพล ก็จะกลายเป็นผู้รับผิดชอบและเป็นผู้รับแรงกระแทก แทน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม
จึงทำให้ พล.อ.ณัฐพล ประกาศว่า “เรายืนยันจะไม่ใช้มาตรการ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งจะทำให้แนวทางสันติวิธีที่กระทรวงการต่างประเทศที่ได้ขอมานั้นไม่เกิดผล และจะไม่มีมาตรการตัดไฟตัดอินเตอร์เน็ต”
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าพลเอกณัฐพลได้คุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพในการขอความร่วมมือ ในความดูแลของกองทัพและ ผู้ส่งของกองทัพ ลดบทบาท และลดการนำเสนอข่าวสารหรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ในระยะนี้โดยให้เป็นหน้าที่ของ ศบ.ทก. ด้วยความเกรงว่า การตอบโต้กันไปมาจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศมากขึ้น
โดยที่ ศบ.ทก. มีการตั้ง “เสธ เม่น” พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ รองโฆษก กองบัญชาการกองทัพไทย มาทำหน้าที่เป็นโฆษก ศบ.ทก. พร้อมกันนี้ทีมงานของ พลเอกณัฐพล ในนามทีม สนามไชย 2 จะทำหน้าที่ ในการสื่อสารแทน
จนทำให้ถูกจับตามองว่าเป็นท่าทีที่อ่อนนุ่มเกินไปหรือไม่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาไม่มีแผ่ว ทั้ง สมเด็จฮุนเซน และ พล.อ. ฮุนมาเนต ที่เดินหน้าในการยื่นฟ้องอ้างสิทธิ์ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และ ตาควาย และ สามเหลี่ยมมรกต ต่อศาลโลก รวมทั้งการไม่ยอมถอนกำลังทหาร และ ยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ประชิดตลอดแนวชายแดนกลับที่ตั้ง
แม้ว่ากำหนดการเดิมฝ่ายไทยวางแผนที่จะจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาคไทย-กัมพูขา(RBC) ใน ปลายเดือนมิถุนายนนี้ ที่จะมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 และแม่ทัพฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วม แต่ทางกัมพูชาแจ้งขอเลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยอ้างว่ายังไม่ได้ไฟเขียวจากผู้บังคับบัญชา
เหตุผลหนึ่งคาดว่าเป็นเพราะในการประชุมครั้งนี้ฝ่ายไทยต้องการหยิบยกเรื่องการถอนกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ของทั้งสองฝ่ายจากแนวชายแดนกลับที่ตั้งปกติ และฝั่งกัมพูชา ยังไม่ต้องการที่จะถอนกลับจึงเลื่อนการประชุมออกไปก่อน
แม้ว่า พล.อ.ณัฐพล จะประกาศว่าศบ.ทก.นี้จะอยู่ไม่นานเพราะต้องการเร่งการแก้ปัญหาให้จบด้วยการเจรจาโดยขอเวลาประมาณ 1 เดือน แต่ก็ใช่ว่าปัญหาจะจบได้ง่ายเพราะกัมพูชา ได้ยื่นศาลโลกในการอ้าง เหนือพื้นที่ 4 จุด ซึ่งเป็นเขตประเทศไทยไปแล้ว
ดังนั้นสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาก็จะยังคงตึงเครียดต่อไปโดยที่กำลังทหารทั้งสองฝ่ายก็ยังคงเผชิญหน้ากันอยู่และอุบัติเหตุใดก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งฝั่งกัมพูชาต้องการให้เกิดเรื่องเกิดการสู้รบ เพื่อนำไปเป็นเหตุในการดึงให้ประเทศไทยขึ้นสู่ศาลโลกหลังจากที่ไทยประกาศไม่รับอำนาจศาลโลกก็ตาม
โดยท่าทีของรัฐบาลเช่นนี้ ที่เหมือนยังคงจะรักษาความสัมพันธ์กับทางกัมพูชา และยังคงเกรงใจ รวมถึงการมอบมอบหมายให้ พล.อ.ณัฐพล รับผิดชอบ แนวทางบางประการอาจจะไม่ตรงกับทางกองทัพ จึงทำให้กระแสข่าวความไม่ลงรอยระหว่างกองทัพกับรัฐบาลยังคงอยู่
แม้ว่าก่อนหน้านี้ นางสาวแพทองธาร จะยืนยันว่ากองทัพกับรัฐบาลไม่ได้ตีกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ได้มีการพูดคุยหารืออยู่ตลอดว่าตรงไหนทำได้ หรือทำไม่ได้ก็ตาม
แต่การที่ นางสาวแพทองธาร ต้องมีการปรับเปลี่ยนท่าที ต่อผู้นำกัมพูชา หลังการประชุมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพที่บ้านพิษณุโลก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาม จึงมีการแถลงโจมตีผู้นำกัมพูชา นั้น มีกระแสข่าวสะพัดว่าเป็นเพราะ เกรงใจฝ่ายกองทัพ
“การทำงานของรัฐบาลและกองทัพเป็นเอกภาพ ทุกคนคือทีมไทยแลนด์ วันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารู้สึกเหมือนพี่น้องคนไทยทุกคนว่าการรักษาอธิปไตยของชาติ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน คือ ภารกิจอันสำคัญสูงสุด รัฐบาลจะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย ข่มขู่ วันนี้ถ้าไม่เคารพกติกา ก็จะไม่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก” นายกฯ กล่าว
โดยที่ก่อนหน้านี้สมเด็จฮุนเซนแห่งกัมพูชา ระบุว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมกองทัพ ได้ซึ่งแตกต่างจากกัมพูชาที่สามารถควบคุมได้
ท่ามกลางกระแสข่าว ที่จับตามองไปถึงท่าทีของ พล.อ.พนา ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติมอบหมายให้กองทัพบกรับหน้าที่ในการประเมินสถานการณ์และตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
ดังนั้นจึงต้องจับตามองท่าทีผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. เป็นอย่างดี เจอาจจะต้องมีการลดการให้รัฐบาลใช้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่ง หากฝ่ายผู้นำกัมพูชายังคงใส่ร้ายแกล้งและข่มขู่ฝ่ายไทยเช่นนี้ต่อไป