“สยามรัฐ” จัดงานสัมมนาพิเศษหัวข้อ “โอกาสไทย เวทีไทย เวทีโลก” วาระครบรอบ 75 ปี หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน “จิราพร” หนุนสร้างโอกาสเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ด้วย “กลไก-ความเข้าใจ” ในสถานการณ์ที่เหมาะสม ด้าน “พิชัย” มั่นใจ ส่งออกไทยโตต่อเนือง คาดสิ้นปีทะลุมากกว่า 10% พร้อมเร่งเจรจา FTA เพิ่ม หวังขยายตลาด จี้ “คลัง-แบงก์ชาติ”เร่งแก้หนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.68 ห้อง Phenix Auditorium Hall อาคาร Phenix ประตูน้ำ สยามรัฐ จัดงานสัมมนาพิเศษหัวข้อ “ โอกาสไทย เวทีไทย เวทีโลก ” วาระครบรอบ 75 ปี หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน โดยมีนายกตพล คงอุดม กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามรัฐ จำกัด เป็นประธานเปิดการสัมมนา
น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาตอนหนึ่งว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา มีการลดการกีดกันทางการค้า ต่อมีการทำนโยบายเปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ใช้วิธีทางการทูต ใช้การเจรจา เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งในช่วงนั้นนับว่าเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตมาก
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย แต่ไม่นานมีวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งรัฐบาลนำโดยอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารงาน ซึ่งได้ใช้แนวทางการบริหารเศรษฐกิจของประเทศด้วยการชูแนวทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส นอกจากนี้ยังได้ดำเนินนโยบายที่สำคัญ คือนโยบายเศรษฐกิจสองแนวทาง หรือ Dual Track Policy มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูประเทศไปพร้อมกับการสร้างการเติบโตในระยะยาว ผลักดันให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ทางการค้า ขณะเดียวกันยังได้สร้างกลไกภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพื่อให้ภายในประเทศของเรามีภูมิคุ้มกัน
รัฐบาลไทยรักไทย ในขณะนั้น ได้ดำเนินนโยบายหลายประการ ตั้งแต่กองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้เกษตรกร การทำโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เพื่อให้เศรษฐกิจของไทยได้ไปต่อ ซึ่ง ณ เวลานั้นจะเห็นได้ว่าผู้ผลิตรายย่อย อย่างเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมามีการเติบโต และแม้ว่า รัฐบาลไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้บริหารงานอย่างต่อ เนื่องก็ตาม
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า หลายคนคงรู้ดีว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไทยต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว และถูกซ้ำเติมด้วยโควิด-19 และต่อมาเมื่อเราฟื้นตัวจากโควิดแล้ว ไทยก็ยังต้องเจอกับความท้าทายหลายประการ มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และการตื่นตัวของAI การพัฒนาการสื่อสาร มีข้อมูลมากมาย นอกจากนี้ ยังเผชิญกับสงครามทางภาษีของประเทศมหาอำนาจ ที่สร้างความซับซ้อนการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นสิ่งใดที่จะเป็นโอกาสของประเทศไทย จากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงขอใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศไทย โดยต้องขึ้นอยู่กับการสร้างความเข้าใจ การใช้เครื่องมือ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาว่า ประเทศไทยที่กำลังเติบโตได้ การส่งออกเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งไม่เหมือน 10 ปีที่ผ่านมาที่ได้เคยออกมาเตือนในช่วงปี 2558 ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การส่งออกมีปัญหา ซึ่งถ้ามองย้อนไปไกลกว่านั้น เศรษฐกิจไทยเคยจีดีพีโตถึง 5 – 10% แต่ต่อมาการเติบโตเหลือเพียง 1 -2 % เท่านั้น และผลตามมาคือรายได้ของประเทศน้อยลง และรายได้ของประชาชนก็จะน้อยลงไปด้วย และสุดท้ายคือจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่โตถึง 90% ซึ่งถ้านำมารวมกับหนี้นอกระบบก็จะโตถึงกว่า 100% เท่ากับหารายได้เท่าไหร่ก็จะต้องจ่ายหนี้หมด ดังนั้นต้องฝากไปทางกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องหนี้ ก็จะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้ภาพใหญ่ของการส่งออกไทยเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ การส่งออกของไทยโตถึงกว่า 13.3% เป็นตัวเลขที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วงระยะ 10 ปี ที่ผ่านมา โดยต้นปีที่ผ่านมาส่งออกโตถึง 14% และเฉพาะในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาโต 18.4% ขณะที่เดือนมีนาคมโต 17.8 % และเชื่อว่าเดือนมิถุนายนก็จะเติบโตด้วยเช่นกัน ซึ่งสาเหตุของการส่งออกไทยที่เติบโต มาจากมีการเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมามีการเข้ามาลงทุนกว่า 2.5 ล้านล้านบาท และสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์อยากเห็นต่อไปในคือการพัฒนาอาหารที่เป็นพิเศษเฉพาะ อาทิ อาหารสำเร็จรูป และอาหารจีไอ ที่เวลานี้ยอดการส่งออกของไทยจาก 40,000 ล้าน เป็น 80,000 ล้าน และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้ตัวเลขของการส่งออก และการลงทุนของไทยตอนนี้เข้ามาเยอะจริงๆ ซึ่งอยากให้แต่ละคนช่วยกันคิด ช่วยกันประคองกันไปก่อน เพราะกำลังจะฟื้นตัว หลังจากที่มีการพูดคุยว่า อีกไม่กี่ปีการส่งออกเวียดนามกำลังแซงไทย และถ้ามาทำอะไรก็อาจจะเป็นอย่างที่พูดกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย”
ส่วนการพูดคุยกับสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานล่วงหน้า มีการเจรจากับหน่วยงานราชการสหรัฐ และผู้ประกอบการ เพื่อที่จะทราบถึงความต้องการของสหรัฐ แต่ก็ต้องขอแจ้งว่ามีการตกลงกันในเรื่องการเจรจาจะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ เชื่อว่าหลังจากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีการชี้แจงต่อสาธารณะอีกครั้ง และส่งผลดีต่อการส่งออกไทยแน่นอน ที่เชื่อว่าทั้งปีส่งออกไทยจะโตมากว่า 10% จากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 7-8%
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ขณะที่เรื่อง FTA ของไทย มีความต้องการที่จะเจรจากับทางอียูให้แล้วเสร็จปลายปีนี้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้เจรจากับหลายประเทศ เช่น ลิกเตนสไตน์ ไอร์แลนด์ ,นอร์เวย์ ,สวิสเซอร์แลนด์ ที่สามารถเจรจรเสร็จไม่เกิน 3 เดือน จากที่มีการเจรจาค้างกันมา 10 ปี ทำให้การส่งออกของไทยไปยังสวิสเซอร์แลน์เติบโตขึ้นอย่างมาก มกราคม โต 800% กุมภาพันธ์ โต 200% มีนาคม โต 400% เมษายน โตกว่า 100% และพฤษภาคม โตกว่า 100% เช่นกัน พร้อมกันนี้การส่งของเวียดนามได้แซงประเทศไทยไปมาก เพราะเวียดนามได้มีการเจรจาFTA เช่นเดียวกับไทย แต่มีการตกลงความร่วมมือ FAT มากกว่าประเทศไทย ทำให้การส่งออกมากกว่าไทยถึง 30% และแนวโน้มในอนาคตจีดีพีของประเทศก็จะมากกว่าไทยแน่นอน หากเราไม่มีการพัฒนาการลงทุน และการส่งออกของไทยมากกว่านี้
สำหรับสินค้าที่เป็นผลไม้ไทย เวลานี้มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งเจรจากับผู้ค้าส่งออก ห้างสรรพสินค้า สายการบิน ในการนำสินค้าที่เป็นผลไม้ไทยนำไปให้บริการลูกค้า และเป็นศูนย์การจำหน่วยสินค้า เพื่อช่วยเหลือกเกษตรกร ส่วนพืชที่ก.พาณิชย์หนักใจคือ ข้าว และมันสำปะหลัง โดย 3-4 ปีที่ผ่านมา อินเดียไม่ได้ส่งออกข้าว ทำราคาข้าวสูงขึ้น แต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา อินเดีย ประกาศส่งออกข้าวทำให้ราคาข้าวในตลาดลดลงมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งหาทางช่วยหลือพี่น้องเกษตรกร หรือมันสัมปะหลังที่ตอนนี้จีนซื้อจากไทยน้อยมาก แม้จะมีการเจรจากับผู้ที่ลูกค้าของเราแล้วก็ตาม ดังนั้นเราจำเป็นที่มีสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของเราเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปแข่งขันกับประเทศที่ผลิตสินค้าเหมือนของไทย และมีต้นทุนที่ถูกกว่าของไทย
ส่วน นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในเวทีการสัมมนาพิเศษ“ โอกาสไทย เวทีไทย เวทีโลก ”ในวาระครบรอบ 75 ปี หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ว่า นโยบายหลักที่เป็นเรือธงในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คือในเรื่องของการท่องเที่ยวที่จะไปดูแล และอุ้มชูที่จะปักหมุดประเทศไทยเป็นเวิลด์คลาสเดสติเนชั่น ซึ่งปีที่ผ่านมานำโดยนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ทำให้ปลายปี 2567 ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 35 ล้านคน สะท้อนถึงว่าประเทศไทยมีความพร้อมในโครงการพื้นฐานที่เชื่อมโยงไปเรื่องต่างๆ โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็น ว่า ประเทศไทยมีความพร้อม
ขณะเดียวกันในปี 2568 ไทยประกาศเป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ซึ่งจะมีอีเวนท์ใหญ่ๆ ทั้งปี ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว และกีฬา เพื่อให้ถึงตัวเลขเดิมที่ตั้งเป้า คือ 39 ล้านคนรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท แต่ทว่าตัวเลขดังกล่าวก็จะต้องมาวางแผนให้ดีในส่วนของคุณภาพ และปริมาณ เป็นอย่างไร เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเกิดคำว่า โอเวอร์ ทัวริสซึ่มขึ้น โดยในหลายๆ ประเทศ เช่น ภูฐาน จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมรักษาความยั่งยืน หรือ sustainable fee ต่อวันๆละ 100 เหรียญ ตรงนั้นก็จะนำพาไปสู่ความยั่งยืนของการท่องเที่ยว เพราะถ้าเมื่อไรขนาดของดีมานด์ และซัฟพลายด์ ไม่สมดุลกันก็จะทำให้การท่องเที่ยวถูกบ่อนทำลายไปเรื่อยๆ ทั้งแหล่งท่องเที่ยว หรือสาธารณูปโภค เป็นต้น เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มีกรมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท.ในการผลักดัให้เกิดการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ไม่ใช่มีเพียงนโยบายที่จะผลักดันให้ช่วยกันรักษา
ขณะเดียวกันก็จะมีการช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งเงิน ล่าสุดได้เข้าไปพูดคุยกับทาง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ในการเข้าถึง 5 Goals ที่มี 2 ใน 3 เป็นเป้าหมายสีเขียวและยั่งยืนสำหรับการท่องเที่ยว หมายถึง การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) คือ Goals GREEN และ Goals Suustanable เพราะการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องห่วงใยเรื่องธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เกิดโอเวอร์ทัวริสซึ่ม อีกทั้งมีการหยิบเรื่อง CBT คอมมูนิตี้ หรือ การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism) ในการนำมาพัฒนาให้เกิดการท่องเที่ยวที่แข็งแรงภายในชุมชนออกไป ประกอบกับ SDG Goals 7 ประเด็นของทาง UN ประกาศไว้เป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยก็พยายามเข้าสู่ Net Zero และในเรื่องของ Low Cabon ทัวริสซึ่ม เพราะฉะนั้นจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเดินทางไปสู่เส้นชัยของตัวเลข และรายได้นักท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันประเทศก็ต้อง Goals GREEN อย่างที่ประกาศไว้